“เราไม่ได้ต้องการไอเดียที่ว้าว แค่ต้องการให้คนไม่ส่ายหน้า”
ในยุคที่ไอเดียถูกแข่งกันผลิต
นวัตกรรมกลายเป็นคำที่ถูกใช้พร่ำเพรื่อ
และทุกโปรเจกต์ล้วนพยายาม "ว้าว" ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
เราถูกฝึกให้คิดแปลก
ถูกสอนให้พูดให้ตื่นตา
และถูกคาดหวังให้ “สร้างผลกระทบ” ในระยะเวลาสั้นที่สุด
แต่คุณเต้ CreativeLab กลับเสนอแนวคิดที่เรียบง่ายกว่านั้นมาก และจริงกว่ามาก
“เราไม่ได้ต้องการไอเดียที่ว้าว
เราแค่ต้องการให้คนไม่ส่ายหน้า
นั่นคือนิยามของ WellBeing Product ที่ดี”
“ไม่ส่ายหน้า” หมายถึงอะไรในบริบทของผู้ใช้?
คำว่า “ว้าว” มักมาพร้อมกับความรู้สึกชั่วขณะ
แต่คำว่า “ไม่ส่ายหน้า” คือภาวะที่ใครสักคนเจอสิ่งหนึ่ง แล้วรู้สึกว่า “โอเค”
ไม่ต้าน
ไม่งง
ไม่ตั้งคำถามว่า “แล้วฉันต้องทำอะไรต่อ?”
ในแง่การออกแบบ นั่นคือ “User Acceptability” ที่ลึกกว่าคำว่า UX
คือสิ่งที่ผู้ใช้ไม่รู้สึกว่าตัวเองโง่
ไม่รู้สึกว่าต้องพยายาม
ไม่รู้สึกว่ากำลังโดนกีดกันจากเทคโนโลยี
และที่สำคัญ
ไม่รู้สึกว่ามันไม่เผื่อฉัน
WellBeing Product ที่ดี ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนโลก แต่ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
คุณเต้บอกไว้เสมอว่า
ผลิตภัณฑ์ที่ดีไม่ต้องเก่งกว่าใคร
แต่ต้องเก่งพอที่จะอยู่กับคนธรรมดาได้
ในวันที่คนพูดถึง Metaverse, AI, หรือ Neuro Interface
คำถามที่เขาใช้เตือนตัวเองและทีมงานกลับเรียบง่ายว่า
“คนที่ไม่เคยเปิดแล็ปท็อปมาก่อน…จะใช้สิ่งนี้ได้หรือเปล่า?”
“เด็กมัธยมที่ไม่มีมือถือแรง ๆ จะเข้าถึงมันได้ไหม?”
“ยายที่ไม่อ่านภาษาอังกฤษ จะรู้สึกว่ามันเป็นของเขาด้วยไหม?”
นี่แหละคือหัวใจของ WellBeing Product ในความหมายที่ไม่จำกัดอยู่แค่สุขภาพหรือจิตใจ
แต่มันคือ “สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกว่าตัวเองมีที่อยู่ในระบบ”
ความสำเร็จไม่ได้วัดด้วยเสียงปรบมือ แต่วัดด้วยความเงียบที่ไม่มีการปฏิเสธ
หลายไอเดียที่เคยได้รับเสียงชื่นชมในวันนำเสนอ
กลับไม่มีคนใช้จริงในภายหลัง
เพราะมัน “เข้าไม่ถึง” หรือ “ไม่จำเป็น”
แต่ไอเดียบางอย่างที่แทบไม่มีใครพูดถึง
อาจอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนยาวนาน
เพียงเพราะมัน “ใช้งานได้” โดยไม่สร้างแรงต้าน
เต้เคยพูดไว้ว่า
“คำชมที่ดีที่สุดของ Product อาจไม่ใช่คำว่า ‘เจ๋งมาก’
แต่อาจแค่คนใช้แล้วพยักหน้าเบา ๆ แล้วบอกว่า ‘ดีนะ’ ”
และนั่นคือจุดที่กลุ่มวิจัย Cybernetic Interfaces ที่ CreativeLabTH วางเป้าหมายไว้
ไม่ใช่ “ชนะเวที”
แต่ “ชนะใจคนเงียบ ๆ ที่ไม่เคยมีใครถามว่าเขาคิดยังไง”
จาก Haraway ถึงเต้: ไซบอร์กที่อ่อนโยนและเป็นมนุษย์
ในปี 1985 Donna Haraway เขียนบทความชื่อ A Cyborg Manifesto
ซึ่งถือเป็นการตั้งคำถามใหม่ว่า "ไซบอร์ก" คืออะไร
เธอเสนอว่า ไซบอร์กไม่ใช่แค่สิ่งมีชีวิตกึ่งจักรกลในจินตนาการ
แต่คือ การดำรงอยู่ของมนุษย์ในระบบที่ถูกต่อเติมโดยข้อมูล, สื่อ, รหัส และโครงสร้างอำนาจ
Haraway พูดถึงไซบอร์กว่า
“มันคือการข้ามพรมแดนระหว่างธรรมชาติและวัฒนธรรม เทคโนโลยีกับชีวภาพ”
“เราอยู่ร่วมกับเทคโนโลยี ไม่ใช่แค่ใช้มัน”
ถ้าเอานิยามนี้มาอ่านซ้อนกับคำพูดของเต้
เราจะเห็นว่า “การไม่ส่ายหน้า” คือการทำให้มนุษย์–ไซบอร์ก–ผู้ใช้ในยุคนี้
รู้สึกว่าเทคโนโลยีไม่ได้ลบความเป็นมนุษย์ของเขา
แต่ "เผื่อเขาไว้" ด้วยความเคารพ
ไซบอร์กของ Haraway ไม่จำเป็นต้องมีสายไฟ
แต่ต้องสามารถอยู่กับโลกที่เต็มไปด้วยอัลกอริธึม โดยไม่รู้สึกว่าตัวเองด้อยค่ากว่าระบบ
และไซบอร์กของเต้ ไม่จำเป็นต้องว้าว
แต่แค่ทำให้ “ไม่ส่ายหน้า” เพราะรู้สึกว่า “ฉันยังมีที่ในโลกที่ซับซ้อนใบนี้”
McLuhan, Protheses และการออกแบบที่ไม่ทำให้มือเราเกร็ง
Marshall McLuhan นักคิดด้านสื่อและเทคโนโลยีชื่อดัง เคยกล่าวว่า
“The medium is the message.”
เทคโนโลยีทุกชิ้นไม่ใช่แค่สิ่งที่เราสร้าง
แต่เป็น “อวัยวะเทียม (prothesis)” ที่ต่อเติมเราไปเรื่อย ๆ
มือถือคือมือที่ยืดยาว
คีย์บอร์ดคือเสียงที่เราส่งผ่านนิ้ว
AI คือการคิดที่แยกตัวออกไปนอกสมอง
และคำถามคือ...
เรายังควบคุม “มือ” เหล่านี้อยู่หรือเปล่า? หรือมันเริ่มแปลกแยกกับร่างกายเราเอง?
ถ้าเทคโนโลยีทำให้เรา “ฝืน”
แม้มันจะฉลาดเพียงใด มันก็ทำให้ “เราไม่อยากใช้มัน”
นี่คือเหตุผลที่ “ความไม่ส่ายหน้า” เป็นคำอธิบายแบบ McLuhan
ที่บอกเราว่า สิ่งที่ดี ไม่จำเป็นต้องฉลาดหรือว้าว
แต่ต้อง “กลืน” ไปกับร่างกาย ความคิด และความรู้สึกของมนุษย์
Yuk Hui และ Cosmotechnics: การออกแบบที่ไม่ทำลายวัฒนธรรมท้องถิ่น
Yuk Hui นักปรัชญาเทคโนโลยีชาวฮ่องกง เสนอแนวคิดเรื่อง Cosmotechnics
คือการออกแบบเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับ วัฒนธรรม, ปรัชญาท้องถิ่น, และ เงื่อนไขเฉพาะของแต่ละสังคม
เขาเตือนว่า โลกไม่ควรมีแค่ “เทคโนโลยีแบบตะวันตก” ที่ครอบงำทุกอย่าง
แต่ควรเปิดทางให้ “วิธีใช้เทคโนโลยีแบบพื้นถิ่น” ได้มีเสียงเช่นกัน
ในบริบทนี้
คำว่า “ไม่ส่ายหน้า” ของเต้ CreativeLab
อาจเทียบได้กับ “Cosmotechnics แบบอีสาน”
ซึ่งไม่ได้พยายาม disrupt หรือยัดเยียดเทคโนโลยีให้ชาวบ้าน
แต่พยายามถามว่า
“ของสิ่งนี้ เหมาะกับมือของแม่ไหม?”
“พ่อจะกดปุ่มนี้เข้าใจหรือเปล่า?”
“มันต้องพูดภาษาถิ่นได้ไหม?”
“มันควรมีปุ่มเยอะหรือปุ่มน้อย?”
คำถามเหล่านี้ไม่ใช่คำถามทางเทคนิค
แต่คือคำถามปรัชญา
ที่ถามว่า “เทคโนโลยีแบบไหน ที่ไม่ทำให้คนรู้สึกว่าเขากำลังใช้ของของคนอื่น?”
Ivan Illich และเครื่องมือที่ใช้แล้วไม่ทำให้เรารู้สึกด้อย
Ivan Illich ผู้เขียนหนังสือ Tools for Conviviality เสนอว่า
เทคโนโลยีไม่ควรทำให้คนรู้สึกว่าตัวเองโง่ หรือถูกควบคุม
เครื่องมือที่ดี ควรเป็นเครื่องมือที่ “เปิดให้คนธรรมดาใช้สร้างความหมายของตัวเองได้”
ถ้าเอาแนวคิดนี้มาอ่านคู่กับคำของเต้
“การไม่ส่ายหน้า” คือ การไม่ถูกทำให้รู้สึกด้อย
เทคโนโลยีที่ดีไม่ใช่เทคโนโลยีที่ฉลาด
แต่คือเทคโนโลยีที่ “ไม่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าเขาโง่เกินกว่าจะใช้มัน”
ในวันที่ทุกคนอยากให้ผลิตภัณฑ์ “เปลี่ยนโลก”
เขากลับเสนอว่า
“แค่ทำให้คนรู้สึกว่าเขา ‘ยังอยู่ในโลกนี้ได้’ ก็พอ”
เทคโนโลยีไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่
แต่อย่าให้มันกลายเป็นกำแพงอีกชั้นที่ผลักคนธรรมดาออกไป
บางทีเป้าหมายของนวัตกรรมที่แท้จริง
อาจไม่ใช่ “การคิดใหม่ทั้งหมด”
แต่คือการ “ฟังใหม่ทั้งหมด”
และบางครั้ง
การไม่ส่ายหน้า คือจุดเริ่มต้นของการร่วมอยู่ในโลกที่ออกแบบมาเพื่อทุกคน