“สามวงจรของการเติบโต”: เต้ CreativeLab เปิดปรัชญาการทำงาน–การเรียนรู้–มิตรภาพ บนเวที AI–ศิลปะ–สังคม
ทำงานกับคนที่ “มองว่าเจ๋ง”: พลังร่วมสร้าง (Co-creation) และการวิ่งฝั่งบวก
การ “ทำงานกับคนที่เห็นว่าเจ๋ง” ไม่ใช่การแวดล้อมตัวเองด้วยคำชม แต่คือการ คัดเลือกบริบทที่ขับเคลื่อนศักยภาพ—คู่พาร์ตเนอร์ ทีม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มองเห็นคุณค่าในปัญหาชุดเดียวกัน เชื่อในทิศทางเดียวกัน และพร้อมลงทุนทั้งเวลา–ความคิด–ทรัพยากรไปกับเป้าหมายร่วม นี่คือชั้นแรกของวงจร เพราะ งานต้องเดิน และงานจะเดินเร็วเมื่อทุกคนเชื่อว่ามัน “ควรเกิดขึ้น”
ในเชิงปฏิบัติ เต้และทีมมักจัดโครงการให้มี “พื้นที่ทดลองเร็ว” (rapid prototyping) และ “ช่องทางนำไปใช้จริง” ตั้งแต่ต้น—เช่น โจทย์สาธารณสุข, การเรียนรู้ของเยาวชน, หรือพื้นที่ศิลปะเชิงทดลอง—เพื่อให้ไฟของคำว่า “เจ๋ง” ไม่ใช่อารมณ์ชั่วคราว แต่กลายเป็น ความต่อเนื่องของการส่งมอบคุณค่า ที่วัดผลได้
เรียนกับคนที่ “มองว่าปกติ”: มาตรฐาน วิจารณ์เชิงหลักฐาน และเข็มทิศสู่ความเป็นมืออาชีพ
ชั้นที่สองของวงจรคือการวางตัวต่อ “ความปกติ” ให้ถูกต้อง—ปกติ ในที่นี้หมายถึง “มาตรฐาน” (benchmark) คนกลุ่มนี้คือที่พึ่งเวลาจะ เช็คงานให้ตรงระเบียบวิชา: สิ่งไหนแค่ไอเดีย สิ่งไหนผ่านหลักฐาน, วิธีไหนชัด วิธีไหนยังต้องทวนซ้ำ พูดอีกแบบ คนที่เห็นว่างานเรา “ธรรมดา” คือคนที่ช่วยทำให้ ความพิเศษของเราถูกวัดได้และยืนได้ในสนามจริง
วัฒนธรรมทีมของ CreativeLabTH จึงพึ่งพา การ peer review แบบข้ามสาขาวิชา ทั้งจากนักวิจัย วิศวกร นักออกแบบ และศิลปิน เพื่อให้ผลลัพธ์ไม่ใช่เพียง “แปลกใหม่” แต่ยัง สอบผ่านกรอบวิชาการและจริยธรรม ที่จำเป็นต่อการเติบโตระยะยาว
เข้าใจ “ความปกติ” ให้ถูกก่อน—ในบริบทการทำงานของเรา คำนี้ไม่ได้หมายถึงความจืดชืดหรือการเล่นให้ปลอดภัย แต่มันคือเส้นแกนกลางที่ใช้เทียบทุกอย่างให้ตรง ไม่ว่าจะเป็นความถูกต้องของข้อมูล วิธีทดลอง ความรู้สึกของผู้ใช้ ไปจนถึงความรับผิดชอบต่อสังคม คนที่มองว่างานเรา “ปกติ” จึงเปรียบเหมือนกระจกใส พอเรายกผลงานไปแนบ เขาจะไม่พร่ำชมว่าแปลกใหม่เพียงใด แต่จะถามว่า “พิสูจน์ยังไง วัดยังไง ทำซ้ำได้ไหม และถ้าปล่อยให้คนทั่วไปใช้ จะปลอดภัยแค่ไหน” คำถามเหล่านี้ทำให้ความพิเศษของเราไม่หยุดอยู่แค่เรื่องเล่า แต่แปรรูปเป็นมาตรฐานที่ยืนได้ในสนามจริง
ใน CreativeLabTH เราเลยฝึกตัวเองให้คุ้นกับสัมผัสของ “ปกติ” ตั้งแต่วันแรกของโปรเจกต์ เราตั้งสมมติฐานให้ชัด เหตุผลให้ครบ แล้วผูกมันเข้ากับวิธีวัดที่จับต้องได้ เช่น ความแม่นของโมเดล ความเข้าใจแรกพบของผู้ใช้ เวลาที่ใช้จน “อ๋อ” หรือคะแนนประสบการณ์โดยรวม และระหว่างทำ เราไม่ขีดเส้นว่าหลักฐานต้องหน้าตาเดียวกันเสมอ—บางครั้งเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสังเกต บางครั้งเป็นตัวเลขเล็ก ๆ จากการลองแบบนำร่อง บางครั้งเป็นการทดสอบที่ควบคุมตัวแปรเข้มขึ้น หรือการทำซ้ำในบริบทใหม่เพื่อดูว่าผลยังคงเดิม หากวันหนึ่งเราได้ผลลัพธ์งาม ๆ แต่ยังทำซ้ำไม่ได้ เราจะถือว่ายังเป็น “ไอเดียดี” ไม่ใช่ “งานพร้อมใช้” จนกว่าจะผ่านด่านนี้
บรรยากาศในทีมจึงเต็มไปด้วยการคุยกันแบบข้ามภาษาอาชีพ นักวิจัยสนใจความสมเหตุผลและความน่าเชื่อถือของสถิติ วิศวกรจับจ้องความเสถียรและเวลาแฝง นักออกแบบฟังเสียงผู้ใช้และเส้นทางงาน ศิลปินถามหาความหมายและอารมณ์ ทุกสัปดาห์เรามีชั่วโมงที่อนุญาตให้ “จับผิด” กันอย่างปลอดภัย—ตั้งแต่สมมติฐานที่เลือก อคติที่อาจเผลอใส่ลงไป จนถึงความเสี่ยงเชิงจริยธรรม เช่น ความเป็นส่วนตัว การยินยอม หรือผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบาง เราฝึกทำ “พรีมอร์เท็ม” ก่อนขึ้นงานจริง คิดล่วงหน้าว่ามันจะล้มเหลวด้วยเหตุอะไรได้บ้าง แล้ววางตัวชี้วัดเตือนภัยและแผนถอยให้พร้อม เมื่อถึงวันสรุป เราไม่ปิดงานด้วยสไลด์สวย ๆ อย่างเดียว แต่ปล่อยแพ็กเอกสารและโค้ดที่กดรันแล้วได้กราฟเดิม มีโน้ตอธิบายเหตุผลการตัดสินใจ ไฟล์การทดลอง เวอร์ชันไลบรารี และการ์ดข้อมูลของโมเดลกับชุดข้อมูล เพื่อให้ใครก็ตามตรวจทานและทำซ้ำได้จริง
ภาพที่ชัดที่สุดคือเวลาทำงาน AI–Interactive สำหรับสาธารณะ รอบแรกเราเชื่อว่าลำดับภาพเคลื่อนไหวและคำอธิบายแบบกวีจะพาผู้ชม “เข้าใจด้วยร่างกาย” ได้ทันที พอลงของจริงกลับพบว่าคนส่วนใหญ่ยืนงงอยู่หน้าชิ้นงานเกินสองนาที เราไม่โทษผู้ชม ไม่โทษงานศิลป์ แต่พากันกลับมาทบทวนด้วยสายตา “ปกติ”: เปลี่ยนลำดับการรับรู้ใหม่จาก “ดู–งง–เข้าใจ” เป็น “ดู–แตะ–เข้าใจ” แทรกสัญญาณนำทางเล็ก ๆ ปรับข้อความให้อ่านได้ในหนึ่งลมหายใจ แล้วทดสอบแบบ A/B ผลรอบสอง เวลา “อ๋อ” ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ คะแนนประสบการณ์สูงขึ้น และที่สำคัญ ระบบทำงานได้เสถียรโดยใช้พลังงานต่อหนึ่งเซสชันน้อยลง เราบันทึกทุกอย่างไว้ ทั้งผลที่ดีและข้อที่ยังไม่ผ่าน เพื่อไม่ให้ทีมรุ่นถัดไปต้องเริ่มจากศูนย์
ทั้งหมดนี้ทำให้คำว่า “เรียนกับคนที่มองว่าปกติ” กลายเป็นการฝึกวินัยบางอย่าง—วินัยในการทำให้สิ่งที่เรารักผ่านมาตรฐานสากล วินัยในการยอมรับความจริงแม้มันจะหักอารมณ์ และวินัยในการอธิบายงานให้คนอื่นตรวจได้โดยไม่ต้องเชื่อเราเป็นการส่วนตัว เมื่อความพิเศษเดินคู่กับความปกติแบบนี้ เราไม่ได้เสียความเป็นตัวเองไป ตรงกันข้าม เราได้ “ตัวเองฉบับมืออาชีพ” ที่ถูกร้อยด้วยหลักฐาน ทำซ้ำได้ และรับผิดชอบต่อผู้ใช้กับสังคม—และนั่นแหละคือเส้นทางที่งานสร้างสรรค์ควรเติบโต
เป็นเพื่อนกับคนที่ “มองว่าห่วย”: ความจริงใจ ความปลอดภัยทางจิตใจ และการอยู่กับความเห็นต่าง
ชั้นที่สาม—และยากที่สุด—คือการเป็น “เพื่อน” กับเสียงที่ไม่ชอบงานเราเลย เต้ชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ที่ไม่ล่ม ระหว่างความต่างสุดขั้ว เป็นทักษะของสังคมสมัยใหม่ไม่แพ้ทักษะเทคนิค เพราะเสียง “ไม่โอเค” มักพาเราไปเจอ blind spot ที่คนชื่นชมและคนวัดมาตรฐานไม่ทันเห็น
การเป็น “เพื่อน” จึงไม่ใช่การยอมแพ้ให้ความลบ แต่คือ การอยู่ร่วมกันอย่างซื่อสัตย์ ตั้งกติการ่วมฟัง–ร่วมแย้ง–ร่วมทดลองใหม่ โดยไม่บั่นทอนศักดิ์ศรีกัน นี่คือฐานของ ความปลอดภัยทางจิตใจ (psychological safety) ในทีมสร้างสรรค์: ให้สิทธิ์กันที่จะ “ผิด” เพื่อจะ “ถูกกว่าเดิม” ในรอบถัดไป
ปรัชญา IA แทนการแข่งขัน AI: “ขยายศักยภาพคน” คือเข็มทิศ
ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา เต้ย้ำไอเดีย IA – Intelligent Augmentation ว่าเหมาะกับจุดแข็งของสังคมไทย—บริการ งานคราฟต์ วัฒนธรรมประสบการณ์—มากกว่าการทุ่มแข่งฮาร์ดคอร์ AI เต็มรูปแบบ ความหมายเชิงปฏิบัติของ IA คือ ออกแบบเทคโนโลยีให้เติมมือ–เติมหัว–เติมหัวใจมนุษย์ งานบริการดีขึ้น วัดผลได้ขึ้น และยั่งยืนขึ้น
นี่เองที่ทำให้สามวงจร “เจ๋ง–ปกติ–ห่วย” ไม่ได้จบที่ทฤษฎี แต่กลายเป็น กรอบการตัดสินใจ ตั้งแต่เลือกโจทย์, ออกแบบข้อมูล, สร้างเครื่องมือ, ไปจนถึงวิธีประเมินผลลัพธ์กับผู้ใช้จริง
วิธีทำงาน 6 ข้อ ที่ทีม CreativeLabTH ใช้จริง
เริ่มจากปัญหาที่คนรู้สึกได้: ถ้าผู้ใช้เล่าเรื่องปัญหาได้ใน 1 นาที เราถึงจะเริ่มออกแบบ
ต้นแบบเร็ว วัดผลเร็ว: ตั้งตัวชี้วัดตั้งแต่วันแรก เช่น เวลาเรียนรู้ที่สั้นลง, ความพึงพอใจต่อประสบการณ์, ความแม่นของระบบ
รีวิวข้ามสาขา: วิทยาศาสตร์–วิศวกรรม–ดีไซน์–นิเทศศาสตร์ ต้องไล่วงรอบกันอย่างเท่าเทียม
บันทึกการตัดสินใจ: ทุกข้อโต้แย้งถูก “เขียนไว้” เพื่อลดการกลับลูปแบบไร้เหตุผล
ให้พื้นที่กับคำว่า ‘ห่วย’ อย่างปลอดภัย: ตั้งกติการ่วมว่า “วิจารณ์งาน ไม่วิจารณ์คน”
ส่งต่อความรู้ในที่สาธารณะ: เมื่อทำสำเร็จหนึ่งขั้น ต้องมีคู่มือ/เวิร์กช็อป/สื่อการสอนให้สังคมใช้ต่อ