สารจาก MIT ถึง CreativeLabTH วัยขวบครึ่ง

หลังจากที่ CreativeLabTH สตาร์ทอัพด้าน AI สัญชาติไทยซึ่งมีอายุเพียงขวบครึ่ง ได้รับโอกาสก้าวขึ้นสู่เวทีระดับโลกอย่าง MIT Media Lab ในงาน Decentralized AI Summit ทั้งในฐานะ Speaker และหนึ่งในทีมที่ได้โชว์ผลงานแบบ Poster Showcase
เราได้มีโอกาสพูดคุยกับ “คุณเต้” (เตชสิทธิ์ เกงขุนทด) ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ CreativeLabTH ถึงประสบการณ์ครั้งสำคัญและวิสัยทัศน์ที่ได้จากการเดินทางครั้งนี้

จุดเริ่มต้นของ CreativeLabTH เป็นมายังไงบ้าง? ทราบมาว่าหนึ่งในแรงบันดาลใจตอนตั้งองค์กรของคุณเต้มาจาก MIT Media Lab ด้วย จริงไหม?

“เราเริ่มต้นสร้าง CreativeLabTH เมื่อประมาณหนึ่งปีครึ่งก่อนครับ ตอนนั้นแนวคิดหลักคืออยากทำห้องทดลองที่ให้พวกเราชอบลองอะไรใหม่ๆ ที่นอกกรอบจากงานวิจัยหรือธุรกิจทั่วไป ยอมรับเลยว่าหนึ่งในแรงบันดาลใจสำคัญของผมคือ MIT Media Lab เพราะผมติดตามผลงานของที่นั่นมานาน เห็นวิธีที่เขาผสมผสาน ART + DESIGN + SCIENCE + ENGINEERING เข้าด้วยกันอย่างลงตัวเพื่อสร้างนวัตกรรม หรือชุดความรู้ที่เปลี่ยนโลกได้ ก็คิดว่า “บ้านเราน่าจะมีแบบนี้บ้าง” ตอนตั้งองค์กรเลยเอาแนวคิดแบบ Media Lab มาปรับใช้เป็นแนวคิดผสมผสาน ART & SCIENCE + TECH & MIND อยากให้ CreativeLabTH เป็นเหมือนพื้นที่ที่คนรุ่นใหม่จะได้ลองทำโปรเจกต์ล้ำๆ แปลกใหม่ โดยไม่ต้องยึดติดกับข้อจำกัดเดิมๆ”

MIT สำหรับคุณเต้มีความหมายยังไง? เคยมีคนระดับโลกพูดไว้ประมาณว่า “ถ้า CreativeLabTH ได้เหยียบเวที MIT นั่นคือการก้าวสู่การเป็น World-Class Organization”
ตอนนี้เราได้ไปยืนตรงนั้นจริงๆ แล้ว รู้สึกยังไงบ้าง?

“สำหรับผม MIT ไม่ใช่แค่ชื่อมหาวิทยาลัยนะครับ แต่มันคือสัญลักษณ์ของนวัตกรรมระดับโลกเลยก็ว่าได้ เด็กสายเทคอย่างผมสมัยเรียนก็ฝันลมๆแล้งๆ ถึง MIT เหมือนกัน (หัวเราะ) คือที่นั่นเป็นแหล่งรวมสุดยอดนักคิดนักประดิษฐ์ของโลก มี Innovative Culture ที่เข้มข้นมากๆ ครั้งหนึ่งมีผู้ใหญ่ที่ผมนับถือท่านหนึ่ง (ระดับโลกเลย) เขาบอกกับผมว่า “ถ้า CreativeLabTH ได้เหยียบเวที MIT นั่นคือการก้าวสู่การเป็น World-Class Organization” คำพูดนี้ติดอยู่ในใจผมมาตลอด เหมือนเป็นเป้าหมายหนึ่งที่เราใฝ่ฝันไว้ลึกๆ และเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผมก็ได้เดินทางไป MIT สมความตั้งใจจริงๆ การได้มายืนอยู่หน้าตึกโดมใหญ่ของ MIT ทำให้ผมรู้สึกเหมือนความฝันกลายเป็นจริง มันทั้งดีใจและภูมิใจมากๆ ที่สตาร์ทอัพเล็กๆ จากไทยอย่างเรามาถึงจุดนี้ได้ แต่ขณะเดียวกันมันก็เตือนใจผมว่า ถ้าอยากเป็นองค์กรระดับโลกจริงๆ นี่เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น เราต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ด้วยผลงานที่จะตามมาหลังจากนี้”

งาน Decentralized AI Summit ที่ MIT Media Lab เป็นมายังไง? คุณเต้ได้รับเชิญให้พูดบนเวทีและโชว์ผลงานด้วย เล่าประสบการณ์บนเวที MIT ครั้งนี้ให้ฟังหน่อย

“งานนี้จัดขึ้นช่วงกลางเดือนเมษายนที่ MIT Media Lab ครับ หัวข้อหลักของงานคือ Internet of AI Agents พูดง่ายๆ คือแนวทางให้ระบบ AI แบบกระจายศูนย์มาทำงานร่วมกันได้ ซึ่งก็ตรงกับสิ่งที่ทีมเราโฟกัสอยู่พอดี ตอนรู้ว่าเราได้รับเลือกให้ไปเป็น Speaker และโชว์ผลงานในงานนี้ ผมดีใจมาก (หัวเราะ) วันงานจริงผมขึ้นพูดบนเวทีต่อหน้าผู้ฟังที่มีทั้งนักวิจัยระดับท็อป นักลงทุน และตัวแทนบริษัทยักษ์ใหญ่จากหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น Google, Microsoft, MIT, Harvard etc. ตอนแรกก็แอบเกร็งครับ แต่พอเริ่มพูดไปสักพักกลับรู้สึกผ่อนคลายลงอย่างไม่น่าเชื่อ อาจเพราะเรื่องที่เล่าท่ามกลางผู้คนที่มีแนวคิดคล้ายๆกัน ซึ่งทุกคนก็สนใจและให้ฟีดแบ็กค่อนข้างดี”

“บรรยากาศช่วง networking ในงาน Summit ที่ Media Lab คึกคักสุดๆ ครับ หลังจบช่วงพูดบนเวทีก็มีช่วง Poster Showcase ที่เราได้ติดโปสเตอร์แสดงโปรเจกต์ของเราตลอดที่ทำมา
ผมได้คุยกับผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายประเทศที่แวะมาชมบูธ หลายคนให้คำแนะนำดีๆ และมีคนบอกด้วยว่าไม่เคยเห็นสตาร์ทอัพที่มี CEO อายุน้อยขนาดนี้มาพรีเซนต์อะไรแบบนี้ที่ MIT มาก่อน (ยิ้ม) สำหรับผมมันเป็นโมเมนต์ที่ปลื้มมากๆ แถมยังได้รู้จักคุณ Dan นักธุรกิจจาก Boston ที่น่าจะทำร่วมงานกันต่อเร็วๆนี้”

ได้ยินมาว่ามีวันหนึ่งที่คุณเต้ไปเยี่ยมชม MIT Media Lab แล้วเกิดการเปลี่ยนมุมมองไปเลย ตอนแรกคุณเต้บอกว่ารู้สึกว่า “เราไม่มีทางชนะด้วยความ creative ได้” เมื่อเห็นบรรยากาศที่นั่น แต่พอได้คุยกับนิสิตและอาจารย์กลับมีความมั่นใจขึ้นมา แถมตั้งเป้าหมายใหม่ว่าจะ
“แก้โจทย์ที่ Media Lab ทำไม่ได้”
อยากให้เล่าว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น?

“ใช่ครับ วันนั้นผมเดินเข้าไปชมบรรยากาศในตึก MIT Media Lab จริงๆ (ไม่ใช่ช่วงงาน Summit) พอเข้าไปข้างในก็เจอโปสเตอร์ผลงานและนวัตกรรมสุดล้ำเต็มไปหมด สมกับเป็นแหล่งรวมหัวกะทิด้านความคิดสร้างสรรค์ของโลก ตอนเดินดูนู่นนี่ผมก็ทึ่งไปหมด จนแอบคิดขึ้นมาว่า “โห... อยู่ที่นี่เราคงไม่มีทางสู้เรื่องความ creative กับเขาได้แน่” คือรู้สึกตัวเล็กไปเลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ผมลองนั่งเล่นกับผลงานอินเทอร์แอคทีฟชิ้นหนึ่งใน Media Lab เพื่อซึมซับไอเดียสุดล้ำของที่นี่ด้วยตัวเอง จากนั้นไม่นานผมก็ได้มีโอกาสคุยกับนักศึกษาปริญญาโท ปริญญาเอก รวมถึงอาจารย์ที่อยู่ที่นั่นแบบเป็นกันเอง เขาสนใจถามถึงสิ่งที่เราทำที่ไทย เราก็แลกเปลี่ยนกันหลายเรื่อง ปรากฏว่าบทสนทนาวันนั้นมัน “ปลดล็อก” บางอย่างในใจผมเลยครับ คนที่ MIT เขาเก่งและ creative จริงก็จริง แต่เขาก็เป็นมนุษย์เหมือนเรา มีหลายปัญหาที่แม้แต่ที่นี่ก็ยังไม่มีคำตอบ เราคุยกันถึงปัญหาบางอย่างที่ยังแก้ไม่ตก ซึ่งดันเป็นเรื่องที่ทีมผมพอจะมีไอเดียหรือมุมมองที่ต่างออกไป พอคุยจบผมรู้สึกฮึกเหิมมาก จากที่ตอนเช้าคิดว่าคงสู้เขาไม่ได้ กลายเป็นว่าตอนเย็นผมตั้งเป้าหมายใหม่กับตัวเองว่า “งั้นเราจะลองแก้โจทย์ที่ Media Lab ยังทำไม่ได้ให้ดู!” แน่นอนมันเป็นเป้าหมายที่ท้าทายสุดๆ แต่การได้คิดใหญ่แบบนั้นมันทำให้ผมไม่กลัวอะไรอีกแล้วแหล่ะครับ”

with Prof. Pattie Maes, Director of Fluid Interfaces Group

Pink Chicken at MIT Museum

with Prof. Howard Gardner at AHA Symposium

with Pat Pataranutaporn, Ph.D, Director of AHA Initiative

Fragrant Exhibits at the MIT Museum

Join a Lecture Class with Harvard and MIT students

with Prof. Tod Machover, Director of Opera of the Future Group

Selfie with Personal Robot at MIT Museum

One of the talk from AHA Symposium

ตลอดช่วงเกือบสองสัปดาห์ที่อยู่ที่ MIT คุณเต้ใช้ชีวิตในแคมปัสยังไงบ้าง? บรรยากาศหรือวัฒนธรรมการทำงาน
ที่นั่นมีอะไรที่ทำให้เราแปลกใจหรือประทับใจไหม?

“เรื่องนึงที่ประทับใจคือ ผมใส่เสื้อฮู้ด MIT เดินเล่นไปมาตามโถงทางเดินยาวชื่อดังของที่นั่นที่เรียกว่า Infinite Corridor แทบทุกวัน ทางเดินนี้มันยาวมาก (สมชื่อว่า “ไม่มีที่สิ้นสุด”) เชื่อมอาคารหลายตึกเข้าด้วยกัน เวลาเดินที่นี่ผมได้ซึมซับบรรยากาศของ MIT ไปด้วย เห็นนักศึกษาวิ่งไปเข้าคลาส เห็นบอร์ดประกาศบนผนังเต็มไปด้วยไอเดีย เห็นห้องแล็บแต่ละแห่งตั้งโชว์ผลงานไว้หน้าห้อง คนที่นั่นใช้ชีวิตกันชิลๆ แต่เต็มไปด้วยพลังสร้างสรรค์จริงๆ ผมโชคดีที่ได้เข้าไปเยี่ยมชมแลปวิจัยใน MIT ด้วยครับ (รายละเอียดลึกๆ อาจเล่าไม่ได้เพราะจะมี conflict of interest) แต่บอกได้ว่าแต่ละแลปมีของเจ๋งๆ ที่ทำเอาผมทึ่งไปเลย ในขณะเดียวกันก็สังเกตว่าบรรยากาศการทำงานในแลปที่นั่น ชิลแต่โปรสุดๆ คือทุกคนแต่งตัวสบายๆ ดูรีแลกซ์ ไม่มีพิธีรีตองเยอะ แต่พอถึงเวลาลงมือทำหรืออธิบายงานคือมืออาชีพและเก่งมาก ยกตัวอย่างตอนคุยกับนักวิจัยบางคน เราคุยกันง่ายๆ เหมือนเพื่อน แต่สิ่งที่เขาเล่าเกี่ยวกับโปรเจกต์หรือไอเดียคือระดับเปลี่ยนโลกทั้งนั้น ผมเรียนรู้เลยว่าการจะสร้างสรรค์อะไรเจ๋งๆ บางทีเราไม่ต้องเครียดหรือเคร่งขรึมตลอดเวลาก็ได้ บรรยากาศสบายๆ แบบนั้นแหละที่เอื้อต่อการคิดไอเดียใหม่ๆ”

มีสถานที่ไหนหรือช่วงเวลาอะไรที่ MIT ที่เป็นแรงบันดาลใจให้คุณเต้มากเป็นพิเศษไหม? เหมือนคุณเต้เล่าว่าประทับใจ Infinite Corridor, ตึก Media Lab, แล้วก็งานจัดแสดงต่างๆ ในอาคารด้วย เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าที่ไหนบ้างที่จุดประกายไอเดียคุณเต้สุดๆ?

“โอ้ เยอะมากเลยครับ เรียกว่าทุกที่ใน MIT มีอะไรให้เก็บเกี่ยวแรงบันดาลใจตลอดเวลาเลยก็ว่าได้ เดินอยู่ในแคมปัสบางทีก็จะเจออะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่กระตุ้นความคิดเราได้เสมอ ตัวอย่างเช่น ผมเห็นป้ายข้อความสร้างแรงบันดาลใจอันหนึ่งติดอยู่บนเสาในแคมปัส (ตามรูป) ที่เขียนว่า “ART MAKES YOU WONDER, WANDER, IMAGINE, REIMAGINE, EXPLORE, EXPAND, THINK, RETHINK” — แปลประมาณว่าศิลปะทำให้คุณฉงนใจ ออกสำรวจ จินตนาการ และคิดทบทวนสิ่งต่างๆ ใหม่อยู่เสมอ ผมเดินผ่านแล้วต้องหยุดอ่านซ้ำ รู้สึกได้เลยว่าเฮ้ย ที่นี่ให้คุณค่ากับความสงสัยใคร่รู้และจินตนาการสร้างสรรค์จริงๆ ประโยคนี้มันตรงกับความเชื่อผมมากๆ ว่าเราต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และการตั้งคำถามเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม

ที่ประทับใจมากอีกอย่างคือ Infinite Corridor ที่เล่าไป ไม่ใช่แค่โถงทางเดินยาวๆ ธรรมดา แต่สองข้างทางเต็มไปด้วยเรื่องราว มีทั้งภาพถ่ายประวัติศาสตร์ของ MIT มีจอแสดงผลงานวิจัยของนักศึกษา บางจุดก็มีงานศิลปะเล็กๆ ให้ดู เพลินมากครับ เดินกี่รอบก็ไม่เบื่อ เพราะแต่ละวันก็จะไปสะดุดตากับอะไรใหม่ๆ ส่วน อาคาร MIT Media Lab เองก็สุดยอดในตัวมันอยู่แล้ว ตึกนี้ดีไซน์ได้ “creative” สมชื่อ คือโล่งโปร่งและใช้กระจกเยอะ จนเรามองเห็นคนทำงานหรือทดลองในแลปตามชั้นต่างๆ ได้จากภายนอก เสมือนเปิดให้คนภายนอกมีส่วนร่วมไปด้วย ผมยืนดูผ่านผนังกระจกแล้วเหมือนได้ดูโชว์วิทยาศาสตร์สดๆ (หัวเราะ) การออกแบบที่เปิดโปร่งแบบนี้ทำให้อาคารมีชีวิตชีวาและกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นได้ดีจริงๆ สมกับเป็นตึกแห่งความคิดสร้างสรรค์

อีกอย่างหนึ่งที่สะดุดตาคือกระดานประกาศในตึกเรียนที่เต็มไปด้วยโปสเตอร์กิจกรรมและข้อมูลต่างๆ มีทั้งโปสเตอร์กิจกรรมสนุกๆ อย่างชมรมบอร์ดเกม ไปจนถึงประกาศงานสัมมนาวิชาการเข้มข้น แค่ดูบอร์ดนี้ก็รู้เลยว่าคนที่นี่เขา active กันตลอด มีอะไรให้ทำให้เรียนรู้ทุกวัน ชุมชนดูมีชีวิตชีวามากๆ ใครมีไอเดียอะไรก็ติดโปสเตอร์ชวนคนมาร่วมด้วยได้ตลอด ความหลากหลายตรงนี้แหละครับที่ผมว่าเอื้อต่อการจุดประกายนวัตกรรม เพราะไอเดียต่างแขนงมาเจอกัน”

ในบางอาคารก็มีนิทรรศการเล็กๆ แสดงความรู้ให้คนทั่วไปได้อ่านด้วย อย่างที่ผมเจอ เขาเขียนข้อความไว้ว่า “STS fosters critical reflection on the embedding of technical work in our human world.” ซึ่งหมายความประมาณว่า “ศาสตร์ STS กระตุ้นให้เราคิดอย่างมีวิจารณญาณถึงการผสานงานเทคโนโลยีเข้ากับโลกของมนุษย์” ผมอ่านแล้วเห็นภาพชัดเลยว่าสุดท้ายเทคโนโลยีจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อมันเชื่อมโยงกับชีวิตผู้คน ข้อความนี้กลายเป็นอีกสิ่งที่เตือนใจผมเวลาเราจะทำโปรเจกต์ใหม่ๆ ว่าต้องไม่ลืมมุมมองด้านมนุษย์และสังคมควบคู่กัน”

สุดท้ายนี้ หลังจากผ่านประสบการณ์ใหญ่ที่ MIT มาแล้ว คุณเต้คิดว่า “สาร” ที่ได้รับจาก MIT สำหรับ CreativeLabTH (ในวัยขวบครึ่ง) คืออะไร? แล้วจากนี้ CreativeLabTH จะเดินไปในทิศทางไหนต่อ และมีอะไรอยากฝากถึงคนรุ่นใหม่ที่อ่านอยู่บ้างไหม?

“สำหรับผม “สารจาก MIT” ที่ส่งถึง CreativeLabTH จริงๆ คือ “ความเชื่อมั่นและความท้าทาย” ครับ ความเชื่อมั่นที่ว่าคนไทยตัวเล็กๆ อย่างเราก็สามารถก้าวไปสู่ระดับโลกได้ ถ้าเรากล้าที่จะฝันและลงมือทำ แม้ก่อนหน้านี้ลึกๆ จะมีลังเลบ้างว่าเรามาถูกทางไหม แต่พอได้ไปเห็นมา ผมกลับมาพร้อมความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า ใช่...เราเดินมาถูกทางแล้ว และต้องกล้ายิ่งกว่าเดิมอีก ส่วนความท้าทายก็คืออย่างที่ผมตั้งเป้าหมายไว้เลยว่า เราจะกล้าเลือกโจทย์ที่หินขึ้น ขนาดใหญ่ขึ้น ระดับที่แม้แต่คนทั้งโลกยังแก้ไม่ได้แล้วลุยทำมันจริงๆ เพราะผมเชื่อว่าถ้าเราคิดเล็กเราก็จะได้แค่ผลลัพธ์เล็กๆ แต่ถ้าเราคิดใหญ่ แม้สุดท้ายจะไปไม่ถึงดาว แต่อย่างน้อยเราก็อาจจะไปถึงดวงจันทร์ครับ (ยิ้ม) ฉะนั้นเป้าหมายต่อไปของ CreativeLabTH หลังจากนี้คือการสร้างโปรเจกต์เจ๋งๆ ที่มี impact ระดับโลกให้ได้อย่างน้อยหนึ่งชิ้น ผมอยากให้ทุกคนเห็นว่า ของที่คิดและสร้างโดยคนไทยก็สามารถแก้ปัญหาระดับโลกได้ จริงๆ”

“สำหรับคนรุ่นใหม่หรือสตาร์ทอัพไฟแรงที่อ่านอยู่ ผมอยากบอกว่าถ้าคุณมีไอเดียหรือความฝันที่มันดูใหญ่หรือแปลกใหม่ อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่ามันเป็นไปไม่ได้ครับ การได้ไป MIT ครั้งนี้ทำให้ผมเห็นเลยว่าคนที่สร้างสิ่งเปลี่ยนโลกก็เริ่มจากศูนย์เหมือนพวกเรานี่แหละ สิ่งที่ต่างคือเขา กล้าคิด และ กล้าลงมือทำ อย่างต่อเนื่อง ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เท่านั้นเอง เพราะงั้นถ้าคุณมีความฝัน ก็ขอให้ลุยเลย เริ่มลงมือทำอะไรสักอย่างกับมัน แม้จะเล็กน้อยก็ทำไปก่อน เรียนรู้ไป แก้ไขไป อย่ากลัวที่จะล้ม แล้ววันหนึ่งโอกาสดีๆ จะตามมาเอง เหมือนที่ CreativeLabTH ของเราได้มีโอกาสไปท้าทายเวทีโลกที่ MIT ครั้งนี้”

โดย นุ่มนิ่ม

1/5/2568