CreativeLabTH . CreativeLabTH .

Cultural Neuron + CreativeAI Cluster

จินตนาการวัฒนธรรมผ่านเลนส์อนาคต

เมื่อเราพูดถึงคำว่า “วัฒนธรรม” หลายคนอาจนึกถึงสิ่งดั้งเดิม ประเพณี และมรดกทางวัฒนธรรมที่ตกทอดจากอดีต อย่างไรก็ตาม ในโลกปัจจุบันที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมจำเป็นต้องปรับตัวตามกาลเวลา ผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมและเทคโนโลยีเริ่มชี้ให้เห็นว่าการรักษาวัฒนธรรมไม่ใช่การหยุดนิ่ง แต่คือการพัฒนาให้ก้าวทันโลกยุคใหม่ คำว่า “วัฒนะ” ซึ่งเป็นรากศัพท์ของคำว่า วัฒนธรรม ในภาษาบาลีนั้นแปลว่า “ความเจริญงอกงาม” หรือ “การพัฒนา” บ่งบอกว่าวัฒนธรรมที่แท้จริงควรมีพลวัต มีการเติบโตเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดียิ่งขึ้น มิใช่การหยุดอยู่กับที่ ดังที่กวีเอก เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ได้อธิบายไว้ว่าแก่นความหมายของ “วัฒนะ” คือการงอกเงยหรือเติบโตเพิ่มพูนขึ้น ส่วน “ธรรม” หมายถึงคุณความดีหรือสิ่งที่ยึดถือ ดังนั้น “วัฒนธรรม” จึงมีความหมายกลาง ๆ ขึ้นอยู่กับว่าจะพัฒนาไปทางที่ดี (อารยธรรม) หรือถ้าพัฒนาไปทางที่เสื่อมก็กลายเป็นหายนธรรม (ความเสื่อม) ข้อเท็จจริงนี้ตอกย้ำว่า การพัฒนาวัฒนธรรมให้สอดคล้องกับยุคสมัยคือหัวใจสำคัญ ในการรักษาแก่นแท้ของวัฒนธรรมให้ยั่งยืน

“คำว่า ‘วัฒนะ’ ในวัฒนธรรม รากศัพท์แปลว่า ‘การพัฒนา’ ฉะนั้นการจินตนาการถึงวัฒนธรรมด้วยอะไรที่เป็นเรื่องของอนาคต เช่น ศาสตร์ของ AI Advancement และ Cyborg Interaction จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก ดังนั้นแนวคิดของรัฐในการพัฒนาวัฒนธรรมด้วยการสร้าง Soft Power จะมองแค่ในแง่ของ Creative Cluster ไม่ได้ แต่ต้องมองเป็น Creative-AI Cluster เพื่อให้ไทยสามารถสร้างความแตกต่างในเวทีโลกในมิติต่าง ๆ ด้วยรากวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ และพัฒนาไปสู่การสร้างสรรค์ Cyborg Heritage ที่มีคุณภาพให้ลูกหลานของเราในอนาคต”

- เต้ CreativeLab

ข้อความนี้สรุปสาระสำคัญที่บทความนี้จะขยายความต่อจากบทสนทนาบนโต๊ะอาหารของ CreativeLabTH Family ที่พึ่งผ่านมา ว่าด้วยการที่ ประเทศไทยควรผนวกกำลังของความคิดสร้างสรรค์เข้ากับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อยกระดับวัฒนธรรมสู่อนาคต ก่อเกิดเป็นแนวคิด “Cultural Neuron + CreativeAI Cluster” ที่จะสร้างความแตกต่างให้ไทยบนเวทีโลก พร้อมกับส่งมอบมรดกวัฒนธรรมแบบไซบอร์ก (Cyborg Heritage) ที่ทรงคุณค่าแก่คนรุ่นหน้า

บทความนี้จะสำรวจแนวคิดดังกล่าวอย่างเจาะลึก ตั้งแต่นิยามของ “Cultural Neuron” ที่เปรียบสมองเครือข่ายทางวัฒนธรรมของไทย ไปจนถึงแนวทางการสร้าง Creative-AI Cluster ที่รวมกลุ่มพลังสร้างสรรค์และปัญญาประดิษฐ์ พร้อมยกตัวอย่างการประยุกต์ใช้ AI ในการพัฒนาวัฒนธรรมและ Soft Power ไทย ทั้งด้านศิลปะ เนื้อหา ความบันเทิง ตลอดจนแนวคิดเรื่อง Cyborg Interaction หรือการอยู่ร่วมกันของมนุษย์และเทคโนโลยี ที่จะหลอมรวมเป็นมรดกวัฒนธรรมยุคใหม่ให้ลูกหลาน ในท้ายที่สุด เราจะเห็นภาพรวมว่าเหตุใดการหลอมรวมวัฒนธรรมกับ AI จึงมิใช่เป็นเพียงทางเลือก หากแต่เป็นสิ่งจำเป็นที่ไทยต้องก้าวไป เพื่อรักษาอัตลักษณ์พร้อมสร้างความโดดเด่นบนเวทีโลก

วัฒนธรรม: พลวัตแห่งการพัฒนา

“วัฒนธรรมเปลี่ยนไปตามความเปลี่ยนแปลงของสังคมอยู่ตลอดเวลา” คำกล่าวนี้สะท้อนความจริงที่ว่าไม่มีวัฒนธรรมใดหยุดนิ่ง ความหมายของวัฒนธรรมแบ่งออกได้สองนัยตามที่เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์อธิบายไว้ คือ นัยหนึ่งหมายถึงแบบแผนการดำเนินชีวิตและขนบธรรมเนียมของสังคม (ความหมายโดยความ) และอีกนัยหนึ่งหมายถึงความมีระเบียบ ความสวยงาม ความเจริญ (ความหมายโดยคำ) ทั้งสองนัยนี้เองที่บอกเราว่า วัฒนธรรมมีทั้งรูปธรรมที่จับต้องได้ (วิถีชีวิต ประเพณี) และนามธรรมที่เป็นคุณค่าความงามความดีงาม ซึ่งสองส่วนนี้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาเสมอ

ตัวอย่างเช่น วัฒนธรรมการกินหมากในอดีตเคยเป็นเรื่องปกติในสังคมไทย ทุกบ้านมีพานหมากและถือเป็นมารยาทความงามอย่างหนึ่ง ฟันดำปากแดงจากการเคี้ยวหมากเคยถือว่างดงามในยุคนั้น แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป คนเลิกกินหมาก วัฒนธรรมการกินหมากก็หายไปแทนที่ด้วยพฤติกรรมใหม่ ๆ เช่นการดื่มกาแฟหรือสูบบุหรี่ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมปรับตัวตามสิ่งแวดล้อมและค่านิยมที่เปลี่ยนไป

ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีส่งผลต่อวัฒนธรรมอย่างมหาศาล เราสามารถพูดได้ว่าโลกมี “วัฒนธรรมมือถือ” หรือ “วัฒนธรรมหน้าจอ” ที่ผู้คนใช้สมาร์ตโฟนและอุปกรณ์ดิจิทัลเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน พฤติกรรมการสื่อสาร การเสพสื่อ และการเข้าสังคมของมนุษย์เปลี่ยนโฉมไปด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ จนมีผู้เรียกเราว่า “มนุษย์ไซบอร์ก” โดยนิยามไซบอร์กในมุมนี้ไม่ใช่หุ่นยนต์อย่างในภาพยนตร์ แต่หมายถึงมนุษย์ที่ใช้อุปกรณ์ภายนอก (เช่น สมาร์ตโฟน) เป็นส่วนต่อขยายร่างกายเพื่อปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ทุกครั้งที่เราหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาใช้ ไม่ว่าจะเปิดแผนที่ออนไลน์คำนวณเส้นทางหรือสร้างตัวตนในโซเชียลมีเดีย เราก็กลายเป็นไซบอร์กในชีวิตจริงไปโดยปริยาย เพราะเรากำลังเอาเทคโนโลยีเข้ามาเสริมวิถีชีวิตจนแยกออกจากกันไม่ออก สมาร์ตโฟนกลายเป็นอวัยวะที่ 33 ของร่างกายมนุษย์ดังที่นักมานุษยวิทยาไซบอร์ก Amber Case กล่าวไว้ และพฤติกรรมหลายอย่างของเราถูกหล่อหลอมโดยเทคโนโลยี (เช่น การตอบสนองต่อการแจ้งเตือนหรือโพสต์บนโซเชียล) แม้บางครั้งจะขัดกับความรู้สึกจริง ๆ ของตัวเองก็ตาม จะเห็นได้ว่ามิติทางวัฒนธรรมทุกวันนี้โยงใยกับเทคโนโลยีอย่างลึกซึ้ง การตระหนักถึงปรากฏการณ์ cyborg ในชีวิตประจำวันนี้ทำให้เราเห็นความสำคัญของการพัฒนา “วัฒนธรรมอนาคต” ที่ผสมผสานคนกับเครื่องจักรอย่างกลมกลืน

Cultural Neuron หรือ “เครือข่ายประสาททางวัฒนธรรม” เป็นแนวคิดเชิงอุปมาเพื่ออธิบายว่าปัจเจกบุคคลหรือองค์ประกอบทางวัฒนธรรมแต่ละอย่าง เปรียบเสมือนเซลล์ประสาทหนึ่งเซลล์ในสมองรวมหมู่ของสังคม เมื่อทุกคนและทุกภูมิปัญญาถูกเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่าย วัฒนธรรมก็ทำหน้าที่เสมือนสมองส่วนรวมที่สามารถคิดและพัฒนาได้อย่างชาญฉลาดกว่าการแยกส่วน แนวคิดนี้สอดคล้องกับงานวิจัยด้านมานุษยวิทยาที่พบว่า แต่ละคนต่างเป็น “cultural neuron” ในเครือข่ายสมองรวมของสังคม ซึ่งทำให้สมองหมู่นี้ฉลาดขึ้นกว่าความสามารถของแต่ละคนรวมกัน เพราะมีการถ่ายทอดองค์ความรู้และนวัตกรรมแก่กันและกัน มนุษยชาติมีความก้าวหน้ามาได้ทุกวันนี้ก็ด้วยการแบ่งปัน “ซอฟต์แวร์ทางวัฒนธรรม” ให้กัน เราเรียนรู้ทักษะและภูมิปัญญาใหม่ ๆ จากผู้อื่น แล้วส่งต่อสิ่งเหล่านั้นให้คนรุ่นถัดไป ทำให้ สมองรวมทางวัฒนธรรม ของมนุษย์พัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ในบริบทของประเทศไทย เราสามารถมองว่าสังคมไทยก็มีสมองรวมทางวัฒนธรรมที่ประกอบด้วย neurons เล็ก ๆ มากมาย ได้แก่ ประชาชน ศิลปิน ปัญญาชน ภูมิปัญญาชาวบ้าน หน่วยงานรัฐ เอกชน ฯลฯ ที่ต่างมีบทบาทหน้าที่ เมื่อใดก็ตามที่องค์ประกอบเหล่านี้เชื่อมต่อแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เราก็กำลังทำให้ “สมอง” ของวัฒนธรรมไทยเฉียบคมขึ้น เปล่งประกายขึ้น ตรงกันข้าม หากองค์ประกอบต่าง ๆ ทำงานแยกส่วน ไม่ส่งสัญญาณถึงกัน สมองรวมก็จะเฉื่อยชา ไม่ทันโลก

แล้วเราจะกระตุ้น Cultural Neuron ของไทยได้อย่างไร? หนึ่งในคำตอบสำคัญคือ เทคโนโลยี AI ที่สามารถเป็นดั่ง “สารสื่อประสาท” เชื่อมโยงเครือข่ายวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน AI สามารถเก็บรวบรวมองค์ความรู้ได้มหาศาลในเวลาสั้น และช่วยส่งผ่านความรู้เหล่านั้นข้ามเวลาและสถานที่ กล่าวคือ AI ช่วยให้เราถ่ายทอดภูมิปัญญาวัฒนธรรมสู่คนรุ่นหลังอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยผสมผสานความรู้จากหลายแขนงให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้ หากเราใช้ AI อย่างชาญฉลาด มันก็จะทำหน้าที่เสมือนเพิ่มเซลล์สมองให้สมองรวมของชาติ เพิ่มพลังการคิดการสร้างสรรค์ขึ้นหลายเท่า ในส่วนถัดไป เราจะมาดูกันว่า แนวคิด Soft Power และ Creative Cluster ของไทยคืออะไร และเหตุใดการเพิ่ม “AI” เข้าไปจึงจะช่วยยกระดับวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของเรา

Soft Power กับยุทธศาสตร์วัฒนธรรมไทย

แนวคิด Soft Power (อำนาจละมุน) คือการใช้เสน่ห์ทางวัฒนธรรม วิถีชีวิต ค่านิยม หรือความคิดสร้างสรรค์ของชาติ เป็นเครื่องมือสร้างอิทธิพลและภาพลักษณ์ที่ดีในสายตานานาชาติ โดยไม่ต้องพึ่งพิงกำลังหรือการบังคับ ศาสตราจารย์โจเซฟ นาย (Joseph Nye) จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเป็นผู้บัญญัติศัพท์นี้ โดยชี้ว่าประเทศสามารถได้มาซึ่ง “อำนาจ” จากการที่ผู้อื่นชื่นชมยอมรับวัฒนธรรมและคุณค่าของตน

สำหรับประเทศไทย Soft Power กลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ภาครัฐระบุ อุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ ที่มีศักยภาพ 15 สาขา และได้คัดเลือก 5 สาขาที่โดดเด่นที่สุดเรียกว่า “5F” เพื่อผลักดันเป็น Soft Power หลักของไทย ได้แก่ Food (อาหารไทย), Film (ภาพยนตร์/ละครไทย), Fashion (การออกแบบแฟชั่นไทยและผ้าไทย), Fighting (มวยไทยและศิลปะการต่อสู้ไทย), และ Festival (เทศกาลประเพณีไทย) ทั้ง 5F นี้ล้วนสะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่โดดเด่นและเป็นที่สนใจของชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นรสชาติอาหารไทยที่จัดจ้านเป็นเอกลักษณ์ ภาพยนตร์และละครไทยที่มีเนื้อหาน่าสนใจ แฟชั่นผ้าไหมไทยที่วิจิตรงดงาม ศิลปะแม่ไม้มวยไทยที่ตื่นเต้นเร้าใจ หรือเทศกาลอย่างสงกรานต์ ลอยกระทง ที่สวยงามและสนุกสนาน

รัฐบาลได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะสนับสนุนและผลักดัน Soft Power ของไทยเหล่านี้อย่างเต็มที่ เช่น การโปรโมตอาหารไทยในระดับโลก สนับสนุนอุตสาหกรรมบันเทิงไทยให้ไปสู่สากล ส่งเสริมการใช้ผ้าไทย ฯลฯ แนวทางหนึ่งที่ใช้คือการสร้าง “Creative Cluster” หรือ กลุ่มคลัสเตอร์สร้างสรรค์ หมายถึงการรวมกลุ่มธุรกิจหรือชุมชนที่ทำงานด้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในพื้นที่หรือสาขาเดียวกัน เพื่อให้เกิดระบบนิเวศ (ecosystem) ที่เกื้อหนุนกันและกัน อำนวยให้เกิดนวัตกรรมและความเจริญเติบโต

ตัวอย่างเช่น การพัฒนา “เมืองสร้างสรรค์” ในจังหวัดต่าง ๆ ที่รวบรวมผู้ประกอบการและผู้สร้างงานศิลปวัฒนธรรมในท้องถิ่นมาทำงานร่วมกัน มีการจัดตั้งศูนย์สร้างสรรค์หรือ co-working space ให้คนทำงานสายศิลป์ สายสตาร์ทอัพมาพบปะแลกเปลี่ยนไอเดีย นอกจากนี้ยังมีโครงการประกวดด้านความคิดสร้างสรรค์ การอบรมเพิ่มพูนทักษะให้ผู้ประกอบการ และการจับคู่ธุรกิจกับนักลงทุน ทั้งหมดนี้คือการสร้างคลัสเตอร์ของคนมีความคิดสร้างสรรค์เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานวัฒนธรรม

อย่างไรก็ดี การผลักดัน Soft Power ไทยในช่วงแรก ๆ มักเน้นหนักไปที่ตัวเนื้อหาทางวัฒนธรรม (content) และการตลาดเชิงสร้างสรรค์ แต่ยังขาดมิติของเทคโนโลยีอย่างล้ำลึก แม้ว่าไทยจะมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดชาวต่างชาติ แต่ในยุคดิจิทัล การจะทำให้ Soft Power โดดเด่นในเวทีโลก เราจำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือสมัยใหม่มาช่วยขยายพลัง นี่คือจุดที่ AI และเทคโนโลยีดิจิทัลสามารถเข้ามาเติมเต็ม

งานวิจัยทางวิชาการชิ้นหนึ่งชี้ว่า ไทยมีศักยภาพ Soft Power สูงมากในด้านวัฒนธรรม อาหาร การแพทย์แผนไทย ภาพยนตร์และดนตรี แต่การจะทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน จะต้องนำ เทคโนโลยี AI มาใช้ควบคู่ไปด้วย พร้อมกับสนับสนุนการพัฒนาทักษะด้าน AI และการทำวิจัยตลาดเชิงลึกในภาคส่วนเหล่านี้ การผสานพลังระหว่างวัฒนธรรมกับ AI จะช่วยยกระดับ Soft Power ไทยให้แข็งแกร่งและแข่งขันบนเวทีโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ลองนึกภาพตาม: เทศกาลสงกรานต์และลอยกระทงของไทยมีความสวยงาม แต่หากเรานำเสนอผ่าน ดิจิทัลแพลตฟอร์ม ด้วยเทคโนโลยี AR/VR ที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกสัมผัสประสบการณ์เสมือนอยู่ร่วมงานเทศกาลได้จากที่บ้าน กิจกรรมเหล่านี้จะยิ่งเผยแพร่สู่ผู้ชมวงกว้างอย่างไม่เคยมีมาก่อน หรือภาพยนตร์ไทย เมื่อเผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งระดับโลก หากมีการใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูล ผู้ชมเพื่อหากลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ หรือปรับเนื้อหาให้ตรงใจผู้ชมต่างชาติ ก็จะช่วยขยายฐานแฟนภาพยนตร์ไทยให้กว้างขึ้น อีกตัวอย่างหนึ่งคือ อาหารไทย ที่เลื่องชื่อทั่วโลก หากใช้ AI ช่วยแปลสูตรอาหารเป็นภาษาต่าง ๆ ให้ถูกต้องน่าดึงดูด และใช้แอปฯ หรือระบบออนไลน์ให้คนต่างชาติสั่งซื้อเครื่องปรุงหรือเรียนทำอาหารไทยได้ง่าย ก็จะยิ่งทำให้อาหารไทยเข้าถึงผู้คนทั่วโลกมากขึ้น ดังที่บทความชิ้นหนึ่งกล่าวว่า AI สามารถช่วยแปลภาษา ให้ข้อมูลโภชนาการ หรือช่วยสั่งซื้อวัตถุดิบออนไลน์ เพื่อให้ผู้บริโภคต่างชาติสัมผัสอาหารไทยได้สะดวกขึ้น

จะเห็นว่า Soft Power ไทยในยุคดิจิทัล ไม่อาจแยกขาดจากเทคโนโลยีได้เลย ทั้งการเผยแพร่ การโปรโมต และการต่อยอดเชิงธุรกิจ เทคโนโลยี AI และดิจิทัลคือปัจจัยเร่งที่สำคัญที่จะส่งวัฒนธรรมไทยให้ “ดังไกล” และเปลี่ยนจากกระแสชั่วคราวเป็นพลังที่ยั่งยืน ผู้บริหารนโยบายหลายฝ่ายจึงเริ่มเน้นย้ำเรื่องนี้ เช่น ในงานสัมมนาของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมช่วงต้นปี 2025 มีการหยิบยกคำถาม “AI จะช่วยเสริม Soft Power ไทยให้โดดเด่นในเวทีโลกได้อย่างไร?” โดยมีการแลกเปลี่ยนมุมมองว่า AI สามารถเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ได้หลายทาง ตั้งแต่การสร้างเนื้อหาอัตโนมัติ (Generative AI) ไปจนถึงการทำการตลาดและสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ผู้บริโภค นอกจากนี้ยังมีการสาธิตการใช้เครื่องมือ AI ยุคใหม่ เช่น ChatGPT, Claude, Perplexity ในการช่วยพัฒนาเนื้อหาที่มีอัตลักษณ์ไทย หรือใช้ AI สร้างภาพและวิดีโอผ่านระบบอย่าง DALL-E, SORA, SUNO เพื่อสะท้อนเอกลักษณ์ไทยออกมาในรูปแบบที่แปลกใหม่ ซึ่งช่วยให้การผลิตคอนเทนต์สร้างสรรค์เป็นไปอย่างรวดเร็วและหลากหลายมากขึ้น

ข้อมูลและตัวอย่างเหล่านี้ชี้ให้เห็นแนวโน้มชัดเจนว่า ไทยต้องก้าวให้ทันโลกโดยการผนวก Soft Power + Tech Power เข้าด้วยกัน แต่คำถามคือ เราจะจัดระบบหรือกลไกอย่างไรให้การผสานสองสิ่งนี้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิผล? คำตอบหนึ่งที่คุณเต้ CreativeLab เสนอคือการสร้าง “Creative-AI Cluster”

จาก Creative Cluster สู่ Creative-AI Cluster

Creative Cluster ตามนิยามเดิม หมายถึงการรวมกลุ่มผู้ประกอบการหรือองค์กรในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้องกัน เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและนวัตกรรมผ่านการเกื้อหนุนกันของสมาชิกในกลุ่ม ตัวอย่างเช่น คลัสเตอร์อุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่รวบรวมสตูดิโอผลิตหนัง บริษัทจัดจำหน่าย ทีมวิชวลเอฟเฟกต์ โรงเรียนสอนการแสดง และหน่วยงานรัฐด้านภาพยนตร์ เข้ามาอยู่ในเครือข่ายเดียวกัน โดยมีการแลกเปลี่ยนทรัพยากร ความรู้ และบุคลากร หรือคลัสเตอร์หัตถกรรมพื้นบ้านที่รวมกลุ่มช่างฝีมือ ผู้ผลิตวัสดุ ผู้จัดจำหน่าย และนักออกแบบ เพื่อช่วยกันพัฒนาผลิตภัณฑ์และขยายตลาด เป็นต้น แนวคิดคลัสเตอร์สร้างสรรค์เป็นยุทธศาสตร์ที่หลายประเทศใช้ในการพัฒนาเมืองและเศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรมของตน ซึ่งประเทศไทยก็นำมาปรับใช้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ในโลกศตวรรษที่ 21 ที่ เทคโนโลยีขั้นสูง อย่าง AI, หุ่นยนต์, เทคโนโลยีความจริงเสมือน (VR/AR), บล็อกเชน ฯลฯ กำลังเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมทุกประเภท Creative Cluster แบบดั้งเดิมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป จำเป็นต้องพัฒนาไปอีกขั้นเป็น Creative–AI Cluster ซึ่งหมายถึง คลัสเตอร์ที่ผสานรวมระหว่างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี AI เข้าไว้ด้วยกัน เป็นการขยายขอบเขตของระบบนิเวศสร้างสรรค์ให้ครอบคลุม “ตัวช่วยเร่ง” (accelerator) อย่างเทคโนโลยีล้ำสมัย

ใน Creative-AI Cluster เราจะเห็น ความร่วมมือข้ามสาขา ที่น่าสนใจ เช่น นักออกแบบแฟชั่นจับมือกับวิศวกร AI เพื่อสร้างชุดอัจฉริยะที่ปรับเปลี่ยนสีลวดลายตามอารมณ์ผู้สวมใส่หรือสภาพแวดล้อม นักพัฒนาเกมทำงานร่วมกับนักประวัติศาสตร์และนักวาดภาพ เพื่อสร้างเกม VR ที่จำลองเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ไทยอย่างสมจริง นักดนตรีไทยร่วมมือกับโปรแกรมเมอร์ด้าน Machine Learning เพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์สร้างเพลงที่ผสมผสานท่วงทำนองไทยเดิมกับสไตล์สากลเกิดเป็นแนวเพลงใหม่ หรือบริษัทท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจับมือกับสตาร์ทอัพ AR ทำแอปพลิเคชันไกด์นำเที่ยวโบราณสถานที่มี AI บรรยายตำนานพื้นบ้านให้ฟังระหว่างเดินชม เป็นต้น

การรวมพลังเชิงสร้างสรรค์กับ AI เช่นนี้ จะสร้าง นวัตกรรมทางวัฒนธรรม รูปแบบใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งเป็น “ของขวัญ” ให้กับ Soft Power ไทยอย่างแท้จริง เพราะเราจะได้ผลิตภัณฑ์และบริการทางวัฒนธรรมที่ทั้งมี เอกลักษณ์ไทย และมี ความไฮเทค ในตัว สามารถสร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผู้คนทั่วโลก และแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยก้าวล้ำนำสมัยไม่แพ้ใครโดยยังคงรักษารากเหง้าของตน

ยกตัวอย่างเช่น โครงการ Cyber Thailand ที่สมมติขึ้น อาจเป็นการรวมตัวของกลุ่มศิลปินดิจิทัล วิศวกร AI และนักมานุษยวิทยา ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างพิพิธภัณฑ์เสมือน (Virtual Museum) ที่ผู้ใช้สามารถสวมแว่น VR เพื่อ “ท่องเวลา” ย้อนอดีตไปยังกรุงศรีอยุธยา เดินชมวัดวังในยุครุ่งเรือง โดยมี AI เป็นมัคคุเทศก์บรรยายเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ หรือการสร้าง แพลตฟอร์ม AI ดนตรีไทย ที่ให้ผู้ใช้งานทั่วโลกแต่งเพลงจากเครื่องดนตรีไทยผ่าน AI ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานดนตรีก็สร้างสรรค์ท่วงทำนองเพราะ ๆ ได้ ขณะเดียวกัน AI ระบบนี้ก็เรียนรู้จากผู้ใช้ทั่วโลก ปรับปรุงแนวดนตรีให้ร่วมสมัยขึ้นแต่ยังคงกลิ่นอายไทย หากโครงการเช่นนี้เกิดขึ้นจริง จะเป็นการเผยแพร่วงดนตรีไทยให้เป็นที่รู้จักในหมู่คนรุ่นใหม่ทั่วโลก ผ่านการมีส่วนร่วมสร้างสรรค์ของพวกเขาเอง

แม้แต่ในด้าน งานช่างฝีมือและหัตถกรรม เราก็สามารถผนึก AI เข้าไปในกระบวนการได้ เช่น ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ลวดลายผ้าโบราณนับพัน ๆ ชิ้น เพื่อสร้างฐานข้อมูล “ภาษาลวดลาย” แล้วเปิดให้ดีไซเนอร์รุ่นใหม่ใช้ AI สร้างลายผ้าใหม่ที่ได้แรงบันดาลใจจากของเก่า หรือระบบ AI ช่วยจับคู่ช่างฝีมือท้องถิ่นกับนักออกแบบที่กำลังมองหาเทคนิคหัตถกรรมเฉพาะทาง เพื่อให้เกิดการร่วมมือสร้างสินค้าใหม่ที่มีเรื่องราว (storytelling) ตอบโจทย์ตลาดสมัยใหม่ เป็นต้น

จากที่กล่าวมาทั้งหมด หัวใจของ Creative-AI Cluster คือ การสร้างระบบนิเวศที่บุคลากรสายสร้างสรรค์และสายเทคโนโลยีสามารถพบปะแลกเปลี่ยนและร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ในทางปฏิบัติ นี่อาจหมายถึงการจัดตั้ง ศูนย์กลาง Creative-AI ในระดับภูมิภาคหรือระดับจังหวัด เช่น จัดตั้ง “อุทยานนวัตกรรมสร้างสรรค์” ที่มีทั้งห้องปฏิบัติการ AI, สตูดิโอออกแบบ, โรงละครทดลอง, ศูนย์ฝึกอบรมทักษะดิจิทัล ฯลฯ อยู่ในสถานที่เดียวกัน เพื่อให้คนหลากหลายสาขาเข้ามาใช้ทรัพยากรร่วมกัน อีกทั้งควรมีกองทุนสนับสนุนโครงการที่เป็นความร่วมมือระหว่างศิลปินกับนักเทคโนโลยี ให้ทุนวิจัยและพัฒนาผลงานใหม่ ๆ ที่ผสานวัฒนธรรมไทยกับนวัตกรรม

นอกจากนี้ การศึกษาและหลักสูตรด้าน Creative AI ก็ควรได้รับการส่งเสริม ในอนาคตอาจเห็นหลักสูตรมหาวิทยาลัยหรือบูตแคมป์อบรมที่เน้นผลิตบุคลากรซึ่งเข้าใจทั้งมิติศิลปะ/วัฒนธรรมและมิติเทคโนโลยี เช่น นักศึกษานฤมิตศิลป์เรียนรู้พื้นฐานการเขียนโค้ด AI หรือนักวิทยาการคอมพิวเตอร์ได้ศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์ศิลปะและการออกแบบ เพื่อลดช่องว่างระหว่างสองวงการ

จะเห็นได้ว่า Creative-AI Cluster เป็นภาพฝันที่ใหญ่และท้าทาย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันเกินไปนัก เพราะบางประเทศเริ่มเคลื่อนไหวในทิศทางนี้แล้ว ตัวอย่างเช่น สหราชอาณาจักร มีโครงการ Creative Industries Clusters Programme (CICP) ที่เชื่อมมหาวิทยาลัยกับภาคธุรกิจเพื่อพัฒนานวัตกรรมในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และยังมีการจัดตั้งหน่วยวิจัยอย่าง “Creativity, AI, and the Human” ที่มหาวิทยาลัยเอดินบะระ สกอตแลนด์ เพื่อศึกษาแนวทางการใช้ AI สนับสนุนความคิดสร้างสรรค์มนุษย์อย่างมีความรับผิดชอบ ทีมวิจัยนี้เน้นว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นคุณลักษณะเฉพาะมนุษย์ที่ทรงคุณค่า เราต้องไม่ลืมจุดนี้เวลานำ AI มาช่วยสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ และควรใช้ AI เป็นเครื่องมือเพื่อ “เสริมพลัง” การสร้างสรรค์ของมนุษย์ มิใช่แทนที่มนุษย์ กล่าวอีกนัยหนึ่ง คลัสเตอร์ Creative-AI ต้องมีเป้าหมายเพื่อให้เทคโนโลยีเป็นฝ่ายสนับสนุนและเพิ่มพูนศักยภาพของศิลปินนักสร้างสรรค์ ไม่ใช่แย่งบทบาทหรือคุณค่าของมนุษย์ไป

AI กับการสร้างสรรค์วัฒนธรรม: ตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงนอกเหนือจากงานของกลุ่มวิจัย Social Interfaces, CreativeLabTH

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เหล่านี้คือตัวอย่างการบูรณาการ AI เข้ากับงานวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นแล้ว หรือกำลังพัฒนา ซึ่งอาจถือเป็นจุดตั้งต้นของ Creative-AI Cluster ในไทย

  • นาฏศิลป์หุ่นยนต์ (AI นาฏศิลป์ไทย): โครงการ “Cyber Subin” ของนักวิจัยไทยกลุ่มหนึ่ง (ซึ่งมีความร่วมมือกับ MIT Media Lab) ได้พัฒนาเว็บแอปพลิเคชันที่ใช้ AI สร้างสรรค์ท่าเต้นไทยร่วมสมัย ผู้ใช้งานสามารถเลือกปรับแต่ง “พารามิเตอร์” ต่าง ๆ เช่น ระดับพลัง ท่วงท่า ฯลฯ เพื่อให้ AI สร้างชุดท่าเต้นออกมา จากนั้นนักเต้นก็จะลองรำตามท่าเหล่านั้น และปรับแก้ให้เข้ากับจังหวะเพลงจริง กิจกรรมนี้เปิดโอกาสให้นักเรียนและผู้สนใจได้ทดลองเป็น “ผู้กำกับท่าเต้น” ร่วมกับ AI เกิดเป็นชุดการแสดงใหม่ที่ผสมจินตนาการของมนุษย์และปัญญาประดิษฐ์เข้าด้วยกัน ที่น่าสนใจคือ หลังการทดลอง ผู้จัดทำยังชวนผู้เรียนอภิปรายว่า AI สร้างท่าเต้นเหล่านี้ขึ้นมาอย่างไร ใช้หลักการแบบไหน รวมถึงชวนคิดต่อยอดว่าการผสานศิลปะการเต้นแบบดั้งเดิมกับเทคโนโลยีปัจจุบันช่วยให้เกิดรูปแบบการแสดงแนวใหม่ที่น่าสนใจเพียงใด และจะส่งผลต่อวงการนาฏศิลป์ในระยะยาวหรือไม่ โครงการลักษณะนี้สะท้อน “Cultural Experiment” ที่ทรงพลัง เพราะเป็นการนำความรู้ด้านนาฏศิลป์ไทยมา “ป้อน” ให้ระบบ AI ได้เรียนรู้ แล้ว AI ก็ช่วยแนะนำท่ารำใหม่ ๆ ที่มนุษย์อาจไม่เคยคิดมาก่อน เป็นการสร้างบทสนทนาสองทางระหว่างมรดกวัฒนธรรมกับนวัตกรรม เมื่อมนุษย์และ AI เต้นไปพร้อมกัน เกิดเป็นงานศิลป์ที่ทั้งเคารพรากเหง้าและทดลองสิ่งใหม่ นี่เป็นจุดเริ่มต้นของ Cyborg Interaction ในเชิงศิลปะ ที่มนุษย์ (นักเต้น) กับเครื่องจักร (อัลกอริทึม AI) ทำงานประสานกันอย่างแนบเนียน

  • AI กับศิลปะทัศนศิลป์: ในแวดวงศิลปกรรม มีการใช้ระบบ Generative AI สร้างภาพวาดหรือการออกแบบกราฟิกจำนวนมาก ปัจจุบันมีโมเดลปัญญาประดิษฐ์อย่าง DALL-E, Midjourney ที่สามารถสร้างภาพตามคำสั่งข้อความได้หลากหลายสไตล์ ผู้สร้างสรรค์ไทยบางคนเริ่มทดลองใช้ AI เหล่านี้ในการสร้างงานที่มีกลิ่นอายไทย เช่น สร้างภาพวาดแนวไทยประเพณีที่แต่งแต้มด้วยจินตนาการไซไฟ (ผสานลวดลายไทยกับภาพเมืองอนาคต) หรือออกแบบตัวละครจากวรรณคดีไทยในรูปแบบใหม่ เป็นต้น ถึงแม้ผลงานเหล่านี้จะยังอยู่ในวงจำกัด แต่ก็เป็นแนวโน้มที่ชี้ว่า AI สามารถเป็น “พู่กันดิจิทัล” ให้ศิลปินไทย ได้ลองสร้างงานที่ต่างไปจากกรอบเดิม ๆ อีกทั้งยังช่วยประหยัดเวลาในขั้นร่างแบบหรือหาแรงบันดาลใจด้วย สำหรับงานออกแบบผลิตภัณฑ์และแฟชั่น AI ก็มีบทบาทเช่นกัน ตัวอย่างเช่น นักออกแบบอาจใช้ AI สร้างลวดลายผ้าใหม่โดยอิงจากแพทเทิร์นผ้าไทยโบราณผสมกับรูปทรงเรขาคณิตโมเดิร์น กลายเป็นลายผ้าที่ดูร่วมสมัยแต่ยังคงเค้าโครงของความเป็นไทย สิ่งเหล่านี้เคยต้องอาศัยการลองผิดลองถูกหลายรอบ แต่ AI ช่วยสร้างตัวเลือกจำนวนมากได้ในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้กระบวนการออกแบบสร้างสรรค์มี “ผู้ช่วยอัจฉริยะ” คอยสนับสนุน

  • สื่อบันเทิงและคอนเทนต์ดิจิทัล: อุตสาหกรรมบันเทิงไทยก็เริ่มนำ AI มาใช้อย่างเห็นได้ชัดในช่วงปีที่ผ่านมา เช่น ในงาน Thai Content Creative Expo 2025 มีการจัดโชว์เทคโนโลยี AI Voice-over ที่สามารถเปลี่ยนเสียงนักพากย์ให้เป็นสำเนียงภาษาอื่นในขณะแสดง ทำให้ละครทีวีไทยสามารถพากย์เป็นภาษาอังกฤษหรือจีนโดยยังคงน้ำเสียงอารมณ์ใกล้เคียงต้นฉบับ เพิ่มโอกาสในการส่งออกละครสู่ตลาดต่างประเทศ อีกตัวอย่างคือสตูดิโอแอนิเมชันบางแห่งใช้ AI ช่วยในการสร้างฉากหลังหรือคาแรกเตอร์พื้นฐาน จากนั้นทีมศิลปินจึงค่อยปรับแต่งให้ได้คุณภาพตามต้องการ ซึ่งช่วยร่นเวลาการผลิตอนิเมชันลง นอกจากนี้ ในสายงาน เกมและสื่ออินเตอร์แอคทีฟ ก็มีการนำ AI มาช่วยสร้าง “ตัวละคร NPC” ที่มีความฉลาดตอบสนองผู้เล่นได้สมจริงขึ้น หรือสร้างเควสต์ (ภารกิจ) แบบปรับเปลี่ยนตามรูปแบบการเล่นของแต่ละคน ฯลฯ เทคโนโลยีเหล่านี้แม้ไม่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมไทยโดยตรง แต่ถ้าหากพัฒนาต่อยอด เราอาจเห็น AI ถูกนำมาใช้ในเกมที่มีเนื้อหาอิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย เพื่อเพิ่มความสมจริงและมิติการเล่น ตัวอย่างเช่น เกมผจญภัยในยุคสุโขทัยที่ตัวละคร NPC อย่างชาวบ้านหรือขุนนางในเกมพูดคุยตอบโต้กับผู้เล่นด้วยภาษาถิ่นหรือข้อมูลที่สมจริงทางประวัติศาสตร์ ซึ่ง AI สามารถช่วยสร้างบทสนทนาเหล่านี้จำนวนมากได้ไม่ยาก

  • แชตบอตวัฒนธรรมและ AI ภาษาไทย: การสืบค้นความรู้ทางวัฒนธรรมหรือเนื้อหาภาษาไทยจำนวนมหาศาลกำลังง่ายขึ้นด้วยพลังของ AI ตัวอย่างเช่น โครงการพัฒนา แชตบอต “AI ธรรมะ” โดยหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ ที่นำคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุและพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล มาฝึกให้ AI สามารถตอบคำถามหรือสนทนาธรรมกับผู้ใช้งานได้เสมือนมีพระอาจารย์ให้คำปรึกษาตลอดเวลา นี่เป็นการใช้ AI เพื่อสืบทอดมรดกธรรม (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยด้านศาสนา) ให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ง่ายขึ้น ผ่านช่องทางแชทที่พวกเขาคุ้นเคย นอกจากนี้ยังมีความพยายามใช้ AI ช่วยแปลง คัมภีร์หรือเอกสารโบราณ เป็นข้อความดิจิทัล (OCR และถอดความอัตโนมัติ) เช่น โครงการ “ธรรมอาสา” ที่ชวนอาสาสมัครมาช่วยตรวจทานการถอดความพระไตรปิฎกด้วย AI เพื่อให้ได้ฉบับดิจิทัลที่ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้คือการประยุกต์ AI ในการอนุรักษ์และเผยแพร่องค์ความรู้ดั้งเดิม ซึ่งจะกลายเป็นฐานข้อมูลให้คนรุ่นหลังศึกษาได้สะดวก

ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นภาพของ Cyborg Interaction ในทางปฏิบัติ นั่นคือการที่มนุษย์ไทยใช้ชีวิตหรือทำกิจกรรมสร้างสรรค์โดยมี AI เป็นคู่หูหรือผู้ช่วย ไม่ว่าจะเป็นนักเต้นกับ AI ผู้แนะนำท่ารำ, ศิลปินกับ AI ผู้ช่วยวาดภาพ, นักเล่าเรื่องกับ AI ผู้ผลิตคอนเทนต์, หรือแม้กระทั่งประชาชนทั่วไปกับ AI ผู้ให้ความรู้ทางวัฒนธรรม การอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับ AI ดังกล่าวกำลังค่อย ๆ หลอมรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ “วัฒนธรรมร่วมสมัย” ของเรา ยกตัวอย่างง่าย ๆ ทุกวันนี้คนไทยจำนวนมากใช้แอปพลิเคชันอย่าง Google Translate หรือแชตบอต GPT เพื่อช่วยเขียนหรือแปลภาษา (รวมถึงเนื้อหาเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยออกสู่ต่างประเทศ) ซึ่งสะท้อนว่าการทำงานสร้างสรรค์โดยพึ่ง AI กลายเป็นเรื่องปกติใหม่ ดังนั้นแทนที่เราจะมองเทคโนโลยีว่าเป็นภัยคุกคามที่ทำลายวัฒนธรรม เราควรมองว่า มันคือเครื่องมือที่จะเข้ามาเสริมพลังวัฒนธรรม หากเรารู้จักใช้อย่างสร้างสรรค์และมีจริยธรรม

Cyborg Heritage: มรดกวัฒนธรรมยุคไซบอร์ก

เมื่อมนุษย์เราเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีจนกลายเป็นไซบอร์กทางวัฒนธรรมแล้ว คำถามสำคัญคือ “เราจะส่งต่อมรดกอะไรให้ลูกหลาน?” หากมรดกที่บรรพบุรุษส่งให้เราคือขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องเล่า ภาษาถิ่น ศิลปวัตถุ ฯลฯ มรดกที่เราจะส่งต่อให้คนรุ่นใหม่อาจมีรูปแบบต่างออกไป เราอาจเรียกมันว่า “Cyborg Heritage” หรือ มรดกไซบอร์ก ซึ่งหมายถึงมรดกทางวัฒนธรรมที่มนุษย์และเทคโนโลยีสร้างขึ้นร่วมกัน

Cyborg Heritage อาจประกอบด้วย องค์ประกอบสองส่วน ส่วนแรกคือ มรดกดิจิทัล (Digital Heritage) เช่น ข้อมูล ประสบการณ์ หรือผลงานสร้างสรรค์ที่เก็บอยู่ในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งคนรุ่นหลังสามารถเข้าถึงได้ผ่านอุปกรณ์หรือระบบในยุคของเขา ตัวอย่างเช่น ภาพถ่าย 3 มิติของโบราณสถานไทยที่ถูกบันทึกไว้ด้วยเทคโนโลยี LiDAR ทำให้คนรุ่นหลังสามารถชมวัดพระนครศรีอยุธยาเสมือนจริงได้แม้สภาพจริงจะผุพังไปแล้ว หรือคลังข้อมูลขนาดใหญ่ของบทเพลงพื้นบ้านจากทุกภูมิภาคที่ถูกเก็บรักษาด้วยการแปลงเป็นดิจิทัลและจัดทำให้ค้นหาได้ด้วย AI นี่คือมรดกที่จับต้องไม่ได้แต่คงทนถาวรในโลกดิจิทัล

ส่วนที่สองของมรดกไซบอร์กคือ มรดกทางกายภาพที่ได้รับการปรับปรุงด้วยเทคโนโลยี เช่น งานศิลปหัตถกรรมที่ผสมผสานเทคนิคดั้งเดิมกับวัสดุหรือกระบวนการผลิตสมัยใหม่ หุ่นยนต์หรือเครื่องจักรที่สร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์ทางวัฒนธรรม (เช่น หุ่นยนต์นักรบที่แสดงท่ารำแม่ไม้มวยไทย หุ่นยนต์สิงโตเชิด) หรือแม้แต่ ผู้คนเอง ที่อาจมีอุปกรณ์ไฮเทคเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายและวิถีชีวิต ซึ่งพวกเขาก็จะถ่ายทอดชุดคุณค่าและทักษะที่ผสมผสานกันนี้ให้ลูกหลานต่อไป ยกตัวอย่างเช่น คนรุ่นใหม่ในอนาคตอาจได้รับการปลูกฝังให้รู้จัก “วิถีไทย” ผ่านทั้งการได้ลงมือทำอาหารไทยจริง ๆ จากตำราโบราณของคุณย่า และ ผ่านการเรียนรู้จากผู้ช่วย AI ที่เล่าเกร็ดประวัติศาสตร์อาหารไทยให้ฟังขณะทำอาหารไปด้วย ลูกหลานของเราจะซึมซับวัฒนธรรมไทยผ่านทั้งสื่อดั้งเดิมและสื่อใหม่ นี่คือมรดกรูปแบบใหม่ที่เราต้องเตรียมสร้างให้พวกเขา

คุณภาพของ Cyborg Heritage ที่ลูกหลานได้รับ ขึ้นอยู่กับการกระทำของพวกเราทุกคนในปัจจุบัน หากเราร่วมมือกันสร้างสรรค์ เนื้อหาดิจิทัลทางวัฒนธรรม ที่มีคุณภาพ ผลิตผลงาน creative ใหม่ ๆ ที่หยั่งรากในวัฒนธรรมไทย และพัฒนา AI ให้เข้าใจและเคารพคุณค่าทางวัฒนธรรม สิ่งเหล่านี้ก็จะกลายเป็นมรดกไซบอร์กที่ทรงคุณค่าในอนาคต ตรงข้าม หากเราเมินเฉยหรือปล่อยให้วัฒนธรรมไทยถดถอยเพราะมองว่า “สู้กระแสโลกไม่ได้” แล้วหันไปเสพหรือผลิตแต่เนื้อหาที่เลียนแบบต่างประเทศ ไร้เอกลักษณ์ ในที่สุดลูกหลานเราก็จะได้รับมรดกที่กลวงเปล่า คือเทคโนโลยีทันสมัยแต่ไม่มีจิตวิญญาณความเป็นไทยหลงเหลืออยู่มากนัก นั่นคือเหตุผลว่าทำไม เราต้องเริ่มลงมือสร้าง Creative-AI Cluster และขับเคลื่อน Cultural Neuron ของไทยตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้แน่ใจว่ามรดกไซบอร์กที่เราส่งต่อจะยังคงความเป็นไทย และสร้างความภูมิใจให้กับคนรุ่นต่อไป

การสร้างมรดกไซบอร์กที่มีคุณภาพ ยังหมายถึงการคิดถึง จริยธรรมและความยั่งยืน ของเทคโนโลยีที่จะมีผลต่อวัฒนธรรมเราด้วย เช่น การพัฒนา AI ให้มีความรับผิดชอบ (Responsible AI) ไม่บิดเบือนหรือดูหมิ่นคุณค่าทางวัฒนธรรม, การปกป้องข้อมูลมรดกทางวัฒนธรรมดิจิทัลให้ปลอดภัยไม่สูญหาย, การออกแบบประสบการณ์ไซบอร์กที่ทุกคนเข้าถึงได้ (ไม่สร้างช่องว่างระหว่างคนที่เข้าถึงเทคโนโลยีกับคนที่เข้าไม่ถึง), และการรักษาสมดุลระหว่างของเก่ากับของใหม่ ไม่ให้เทคโนโลยีเข้ามาทำลายเสน่ห์ดั้งเดิม หากแต่ยกระดับมันขึ้น เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องต้องร่วมกันวางแผน

เชื่อมต่ออดีต ปัจจุบัน อนาคตด้วย Cultural Neuron

“Cultural Neuron + CreativeAI Cluster เป็นแนวคิดที่เสนอ ภาพอนาคตของวัฒนธรรมไทย ซึ่งไม่ได้ละทิ้งรากเหง้า แต่ก็ไม่ได้ยึดติดกับรูปแบบเดิม หากเป็นการนำ จิตวิญญาณไทย มาต่อยอดด้วย มันสมองกล AI เพื่อสร้างพลังขับเคลื่อนใหม่ให้กับชาติ การให้ความหมายใหม่แก่คำว่า “วัฒนธรรม” ในฐานะสิ่งที่ต้องพัฒนาอยู่เสมอ ทำให้เราตระหนักว่า การอนุรักษ์ที่แท้จริงคือการสร้างสรรค์ต่อยอด ไม่ใช่การแช่แข็งอดีตไว้ใต้กรอบแก้ว”

ประเทศไทยมีทุนทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ ไม่แพ้ชาติใดในโลก ไม่ว่าจะเป็นศิลปะ ประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียม วิถีชีวิต หรือภูมิปัญญาท้องถิ่น สิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือน “เซลล์ประสาท” จำนวนมากที่รอการเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เราจำเป็นต้องกระตุ้นและเชื่อมเซลล์เหล่านี้ผ่านการสร้าง คลัสเตอร์สร้างสรรค์–AI ให้คนมีความคิดจากทุกแวดวงมาพบปะกัน นำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาช่วยขยายขีดความสามารถ และทลายกำแพงที่กั้นระหว่างศิลปะ วิทยาศาสตร์ ธุรกิจ และสังคมออกจากกัน

ดังคำกล่าวในช่วงต้นของบทความ “การจินตนาการถึงวัฒนธรรมด้วยเรื่องของอนาคต เช่น AI และการอยู่ร่วมกับไซบอร์ก จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก” แนวคิดนี้กำลังเกิดขึ้นแล้วรอบตัวเรา เราทุกคนเริ่มเป็นไซบอร์กที่พึ่งพาเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน วัฒนธรรมก็กำลังวิวัฒน์ไปสู่ดิจิทัลมากขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่ประเทศไทยต้องทำคือเป็นผู้นำในการกำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลงนี้ แทนที่จะตามหลังผู้อื่น หากเราสามารถก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่สร้างเอกลักษณ์ใหม่ให้วัฒนธรรมด้วย AI อย่างโดดเด่น นั่นจะเป็นการสร้าง Brand ที่แข็งแกร่งบนเวทีโลก

ปัจจุบันหลายประเทศเริ่มขับเคี่ยวกันในด้าน Soft Power ที่ผสานเทคโนโลยี เช่น เกาหลีใต้ ที่ไม่เพียงส่งออก K-Pop และซีรีส์ แต่ยังลงทุนใน AI ขั้นสูงเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาเกาหลีทั่วโลก (เช่นพัฒนาแพลตฟอร์มสอนภาษาด้วย AI ที่ชื่อ “아이세종” หรือ iSejong เพื่อให้คนทั่วโลกเข้าถึงภาษาและวัฒนธรรมเกาหลีได้ง่าย) หรือ ญี่ปุ่น ที่นำเสนอวัฒนธรรมโอตาคุผ่านคาแรกเตอร์เสมือนจริงและหุ่นยนต์ ผู้ช่วย และยังมีการใช้ AR/VR ในการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ฯลฯ หากไทยต้องการสร้างความแตกต่าง (Differentiation) ให้โดดเด่น เราต้องหา จุดแข็งของเราเอง ซึ่งจุดแข็งนั้นก็คือ ความเป็นไทย และ ความคิดสร้างสรรค์ ของคนไทยนั่นเอง เมื่อเสริมพลังด้วย AI แล้ว ก็จะกลายเป็นของที่ไม่มีใครลอกเลียนได้ง่าย ๆ เช่น AI ภาษาไทยที่เข้าใจบริบทวัฒนธรรมไทยลึกซึ้ง, เกมหรือสื่อบันเทิงที่มีเนื้อหาไทยในรูปแบบอินเตอร์แอคทีฟที่ชาวต่างชาติไม่เคยสัมผัส, แพลตฟอร์มท่องเที่ยวที่พาคุณเที่ยวไทยผ่านเมตาเวิร์ส เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะทำให้ไทยอยู่ในฐานะ “ผู้นำทางวัฒนธรรมยุคใหม่” ที่โลกต้องจับตามอง

สุดท้ายนี้ การก้าวสู่ Creative-AI Cluster ไม่ใช่หน้าที่ของภาครัฐหรือศิลปินกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของพวกเราทุกคน ภาครัฐควรมีนโยบายสนับสนุนชัดเจน เช่น ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วประเทศและอบรมทักษะ AI ให้บุคลากรในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ พร้อมทั้งส่งเสริมการสร้างเนื้อหาดิจิทัลที่สื่อถึงอัตลักษณ์ไทย และแพลตฟอร์มที่ช่วยให้เผยแพร่วัฒนธรรมไทยไปทั่วโลกได้ง่าย ภาคเอกชนและสตาร์ทอัพควรเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจจากการผสานวัฒนธรรมกับเทคโนโลยี ลงทุนในโปรเจ็กต์ใหม่ ๆ ที่มีมิติทางวัฒนธรรมเป็นจุดขาย สถาบันการศึกษาควรปรับหลักสูตรและทำงานวิจัยที่ตัดขวางขอบเขตเดิม ๆ เพื่อผลิตบุคลากรรุ่นใหม่ที่พร้อมจะทำงานในคลัสเตอร์แบบผสมผสานเช่นนี้ และที่สำคัญไม่แพ้กัน ประชาชนทั่วไป ควรเปิดใจรับการเปลี่ยนแปลง มองวัฒนธรรมในแง่มุมใหม่ ๆ พร้อมทั้งภาคภูมิใจและสนับสนุนผลงานสร้างสรรค์ของคนไทยด้วยกัน

เมื่อทุกภาคส่วนร่วมมือกันเช่นนี้ Cultural Neuron ทั้งหลายก็จะถูกกระตุ้นอย่างเต็มที่ สมองรวมของชาติจะเฉียบแหลมและสร้างสิ่งมหัศจรรย์ใหม่ ๆ ได้ เราจะก้าวข้ามการเป็นเพียงผู้ตามกระแสโลก แต่จะกลายเป็น

ผู้นำเทรนด์ที่นำเสนอ “Cyborg Heritage” แบบไทย ๆ ให้โลกได้ตื่นตาตื่นใจ และนี่แหละคือ การสืบสานวัฒนธรรม ในความหมายที่แท้จริง ตามรากศัพท์ของคำว่า “วัฒนธรรม” ที่หมายถึง “การพัฒนา” — การไม่หยุดสร้าง ไม่หยุดฝัน และไม่หยุดพัฒนาเพื่ออนาคตของพวกเราทุกคน

Read More