Biological Computer มาแล้ว - BioQuantum ควรศึกษาจริงจังแล้วมั้ย?

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวคิดของ “คอมพิวเตอร์ชีวภาพ” (biological computer) ได้ก้าวออกมาจากห้องทดลองสู่โลกความจริง จนนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่างตื่นเต้นกับศักยภาพของมัน เทคโนโลยีนี้ใช้เซลล์มีชีวิตเป็นหน่วยประมวลผล แทนที่จะใช้วงจรซิลิคอนแบบเดิม ทำให้เกิดระบบคอมพิวเตอร์รูปแบบใหม่ที่อาจทรงพลังและประหยัดพลังงานกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปอย่างมหาศาล แนวโน้มการผสานชีววิทยาและเทคโนโลยีควอนตัม หรือที่เรียกกันว่า “BioQuantum” (ไบโอควอนตัม) เริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนและได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเราพิจารณาความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพ กลศาสตร์ควอนตัม การทำงานของสมอง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ปรัชญาจิตสำนึก ตลอดจนเทคนิคใหม่อย่างการจัดเก็บข้อมูลใน DNA และแนวคิดแปลกใหม่เช่นการเก็บข้อมูลในแบคทีเรียหรือพืช

คอมพิวเตอร์ชีวภาพคืออะไร?

คอมพิวเตอร์ชีวภาพ หมายถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ส่วนประกอบทางชีวภาพ (เช่น เซลล์หรือโมเลกุลชีวภาพ) ในการคำนวณหรือประมวลผลข้อมูล แทนที่จะใช้ชิปอิเล็กทรอนิกส์เพียงอย่างเดียว แนวคิดนี้มีมานานหลายสิบปี แต่เพิ่งได้รับการพิสูจน์เป็นรูปธรรมเมื่อไม่นานมานี้ ตัวอย่างที่โด่งดังคือโครงการ “DishBrain” ของบริษัทสตาร์ทอัพ Cortical Labs ในออสเตรเลีย ซึ่งได้นำเซลล์สมองมนุษย์และหนูที่เพาะในจานทดลองมาฝึกให้เล่นเกมพง (Pong) แบบง่าย ๆ ได้สำเร็จ ภายในเวลาเพียงประมาณ 5 นาที เซลล์ประสาทในจานทดลองก็สามารถเรียนรู้วิธีขยับแผ่นไม้เพื่อตีลูกบอลกลับไปมาได้เอง ผ่านการกระตุ้นด้วยสัญญาณไฟฟ้าและการให้รางวัลเมื่อทำสำเร็จ ผลการทดลองนี้แสดงให้เห็นว่าเครือข่ายเซลล์ประสาทสามารถปรับตัวและตอบสนองต่อข้อมูลย้อนกลับได้ในเวลาจริง ซึ่งเป็นหลักฐานหนึ่งว่ากลุ่มเซลล์มีชีวิตสามารถ “เรียนรู้” และแสดงพฤติกรรมแบบมีเป้าหมายได้ แม้อยู่นอกสมองสิ่งมีชีวิต

ความสำเร็จของ DishBrain นำไปสู่แนวคิดที่ใหญ่ขึ้นที่เรียกว่า “Organoid Intelligence” หรือปัญญาจากออร์แกนอยด์ (อวัยวะขนาดเล็กในห้องทดลอง) ซึ่งถูกเสนอขึ้นในปี 2023 โดยคณะนักวิจัยนำโดย Lena Smirnova จากมหาวิทยาลัย Johns Hopkins ไอเดียนี้คือการใช้ “สมองขนาดจิ๋ว” (brain organoids) ซึ่งเกิดจากการเพาะเลี้ยงเซลล์สมองมนุษย์หรือสัตว์ ให้ทำหน้าที่เสมือนเป็นหน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์รูปแบบใหม่ เรียกว่า “สมองกลชีวภาพ” หรือ “คอมพิวเตอร์มีชีวิต” ข้อดีที่เห็นชัดเจนคือ ประสิทธิภาพด้านพลังงาน เนื่องจากสมองคนจริง ๆ ใช้พลังงานน้อยมากเมื่อเทียบกับการประมวลผลอันซับซ้อนที่ทำได้ ตัวอย่างเช่น การฝึกปัญญาประดิษฐ์ขนาดใหญ่ (อย่างเช่นโมเดลภาษา GPT-3 ของ OpenAI) อาจใช้พลังงานไฟฟ้าประมาณ 1,300 เมกะวัตต์-ชั่วโมง เทียบเท่ากับไฟฟ้าที่บ้านในสหรัฐฯ ~130 หลังใช้ในหนึ่งปี แต่สมองมนุษย์สามารถทำงานเทียบเคียงได้โดยใช้พลังงานเพียงประมาณหลอดไฟดวงเล็ก ๆ เท่านั้น นักวิจัยคาดการณ์ว่าการประมวลผลด้วยสมองชีวภาพอาจลดการใช้พลังงานของ AI ลงได้ถึงระดับ ล้านเท่าไปจนถึงหมื่นล้านเท่า เมื่อเทียบกับวิธีการปัจจุบันเลยทีเดียว

บริษัทสตาร์ทอัพหลายแห่งเริ่มเข้ามาในสนามนี้ เช่น FinalSpark จากสวิตเซอร์แลนด์ ที่ได้พัฒนา “Neuroplatform” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มให้บริการคอมพิวเตอร์ชีวภาพผ่านคลาวด์ เปิดโอกาสให้นักวิจัยเช่าใช้ชุดสมองออร์แกนอยด์เพื่อรันการทดลองต่าง ๆ ได้ในราคาเดือนละ ~$1,000 ในปี 2024 FinalSpark ประกาศความสำเร็จในการสร้าง “คอมพิวเตอร์มีชีวิต” ตัวแรกของโลก โดยใช้สมองออร์แกนอยด์ขนาดเล็ก 16 ก้อนเชื่อมต่อกัน เสมือนเป็นโปรเซสเซอร์แบบใหม่ และระบบนี้ใช้พลังงานน้อยกว่าคอมพิวเตอร์ซิลิคอนทั่วไปถึงกว่า หนึ่งล้านเท่า ความสำเร็จนี้ยืนยันว่าการประมวลผลแบบชีวภาพไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่สามารถสร้างขึ้นจริง และกำลังพัฒนาไปสู่การใช้งานในโลกความเป็นจริง ตัวอย่างเช่น นักวิจัยที่มหาวิทยาลัย Bristol ได้ทดลองนำสมองออร์แกนอยด์มาใช้เป็น “สมอง” ของหุ่นยนต์เพื่อให้หุ่นเรียนรู้งานต่าง ๆ เช่น การอ่านอักษรเบรลล์ หรือในอนาคตอาจใช้ให้หุ่นเรียนรู้การเคลื่อนไหวและตอบสนองต่อการสัมผัสวัตถุในแบบที่ยืดหยุ่นกว่าระบบโปรแกรมคงที่แบบเดิม

ข้อดีและความท้าทาย: คอมพิวเตอร์ชีวภาพให้ความหวังว่าจะสร้าง AI ที่ชาญฉลาดและยืดหยุ่นกว่าเดิม ในขณะที่ใช้พลังงานต่ำกว่ามาก ทำให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น นักวิทยาศาสตร์บางคนถึงกับมองว่าเรากำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่ชีววิทยาและเทคโนโลยีหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งอาจเปลี่ยนโฉมหน้าการประมวลผลและการใช้ปัญญาประดิษฐ์ไปโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงตั้งต้นและมีคำถามทางจริยธรรมมากมาย เช่น เราจะถือว่าเซลล์สมองที่นำมาใช้เหล่านี้มีสติรู้ตัวหรือความรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่? การใช้เนื้อเยื่อมีชีวิตเพื่อประมวลผลมีขอบเขตทางศีลธรรมแค่ไหน? สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยี

Quantum Mind – ควอนตัมกับสมองและจิตสำนึก

หนึ่งในหัวข้อที่เชื่อมโยงระหว่างชีววิทยาและควอนตัมฟิสิกส์ได้อย่างน่าทึ่งคือคำถามเกี่ยวกับ “Quantum Mind” หรือจิตสำนึกเชิงควอนตัม แนวคิดนี้เสนอโดยนักฟิสิกส์รางวัลโนเบล Sir Roger Penrose ร่วมกับวิสัญญีแพทย์ Stuart Hameroff ในช่วงทศวรรษ 1990 โดยพวกเขาเชื่อว่าการทำงานของจิตสำนึกมนุษย์ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยกฎฟิสิกส์แบบดั้งเดิมหรือตรรกะการคำนวณเชิงวินิจฉัยเท่านั้น ทฤษฎี Quantum Mind (หรือ Orch-OR theory) ระบุว่าอาจมีปรากฏการณ์ควอนตัมเกิดขึ้นในสมอง โดยเฉพาะในโครงสร้างโปรตีนขนาดเล็กที่เรียกว่า ไมโครทิวบูล (microtubule) ภายในเซลล์ประสาท ซึ่งอาจทำหน้าที่เป็นหน่วยประมวลผลควอนตัมขนาดจิ๋ว ช่วยก่อให้เกิดความรู้สึกและความคิดที่ซับซ้อน แนวคิดนี้ชี้ว่าจิตอาจเป็นผลลัพธ์ของการยุบตัวของสถานะควอนตัม (quantum collapse) ที่เกิดขึ้นเองในไมโครทิวบูล ซึ่งเป็นกระบวนการที่อยู่นอกเหนือการคำนวณเชิงวินิจฉัยทั่วไป

ข้อโต้แย้ง: แน่นอนว่าทฤษฎีนี้ได้รับเสียงวิจารณ์และข้อกังขาจากแวดวงวิทยาศาสตร์กระแสหลัก นักฟิสิกส์หลายคนแย้งว่าสมองเป็นสภาพแวดล้อมที่ “อุ่นและชื้น” เกินกว่าจะรักษาสภาวะควอนตัมที่ละเอียดอ่อนไว้ได้ โฟตอนหรืออนุภาคควอนตัมที่เกี่ยวพันกันมักจะถูกทำลายความเชื่อมโยง (decoherence) อย่างรวดเร็วเมื่อเผชิญกับความร้อนและการสั่นสะเทือนระดับโมเลกุลภายในสมอง อีกทั้งยังไม่มีหลักฐานทดลองโดยตรงที่ยืนยันว่ามีปฏิกิริยาควอนตัมในไมโครทิวบูลจริงตามที่ทฤษฎีกล่าวอ้าง ทว่าถึงแม้จะมีข้อกังขา แนวคิด Quantum Mind ก็ยังดึงดูดความสนใจเพราะมันพยายามตอบโจทย์ปริศนาที่ยิ่งใหญ่ของวิทยาศาสตร์และปรัชญา นั่นคือ “จิตสำนึกคืออะไรกันแน่ และเกิดขึ้นได้อย่างไร?” หากกลไกการทำงานของสมองคนไม่อาจจำลองได้ด้วยการคำนวณแบบขั้นตอนปกติ (อย่างที่คอมพิวเตอร์ทำ) อาจหมายความว่าจิตมีบางสิ่งที่พิเศษกว่านั้น ซึ่ง Penrose เชื่อว่าสิ่งพิเศษนั้นคือการก้าวล้ำไปสู่โลกควอนตัม

แม้ทฤษฎี Quantum Mind จะยังไม่ได้รับการพิสูจน์ แต่ความคิดเชิงบูรณาการที่ผสานควอนตัมฟิสิกส์เข้ากับชีววิทยาและสมองนี้ก็ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับทั้งนักวิทยาศาสตร์และศิลปิน ตัวอย่างหนึ่งคือโครงการศิลปะเชิงทดลองชื่อ “Miss you, My mirror dream” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิด Quantum Mind ของ Penrose โดยทีม CreativeLabTH (นำโดยคุณเต้ – CEO ของ CreativeLabTH) ร่วมกับ Quantum Art Thailand และห้องปฏิบัติการ BCI Lab, มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำเสนอการตีความแนวคิดนี้ใหม่ผ่านงานศิลปะเชิงโต้ตอบ ผลงานดังกล่าวผสมผสานทั้งสรีรวิทยามนุษย์ ปรัชญา กลศาสตร์ควอนตัม AI และเทคโนโลยีเชื่อมสมองกับคอมพิวเตอร์ (BCI) เข้าด้วยกัน เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมเชิงสร้างสรรค์ในสังคม กล่าวได้ว่าเป็นความพยายามนำเรื่องราววิทยาศาสตร์ล้ำลึกมาถ่ายทอดในรูปแบบที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ และตั้งคำถามกับผู้ชมว่า “เราจะเข้าใจจิตสำนึกและความเป็นมนุษย์อย่างไร หากมองผ่านมุมมองควอนตัม?”

เมื่อสมองพบจักรกล: BCI และ AI

นอกจากการใช้สมองชีวภาพเป็นคอมพิวเตอร์แล้ว อีกแนวโน้มหนึ่งที่สำคัญในยุค BioQuantum คือการเชื่อมต่อระหว่างสมองมนุษย์กับเครื่องจักรกล หรือ Brain-Computer Interface (BCI) เราเริ่มเห็นโครงการอย่าง Neuralink ที่พยายามพัฒนาชิปฝังสมองเพื่อให้คอมพิวเตอร์รับ-ส่งข้อมูลกับสมองได้โดยตรง เป้าหมายระยะยาวคือการเสริมศักยภาพมนุษย์ หรือแม้กระทั่งรวมการประมวลผลของสมองกับ AI เข้าด้วยกัน แนวคิด BCI นี้เองก็ถูกนำมาใช้ในงานศิลปะ “Miss you, My mirror dream” ข้างต้น ที่ผู้สร้างผลงานระบุว่าได้ใช้เทคโนโลยี BCI ในการทดลอง เพื่อสะท้อนความเชื่อมโยงระหว่างร่างกาย จิตใจ และข้อมูลดิจิทัล (เช่น อาจเป็นการวัดคลื่นสมองหรือสัญญาณร่างกายของผู้ชมแล้วนำมาขับเคลื่อนสื่อศิลป์แบบเรียลไทม์)

ที่น่าสนใจคือกระแสการพัฒนา AI สมัยใหม่ก็เริ่มมองกลับมาที่สมองมนุษย์ ไม่ใช่แค่ในแง่โครงสร้างโครงข่ายประสาทเทียมเท่านั้น แต่รวมถึงกระบวนการเรียนรู้และการใช้พลังงานของสมองด้วย ความสำเร็จของโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) ที่ฉลาดขึ้นทุกวัน ส่วนหนึ่งมาจากการพยายามจำลองสิ่งที่เกิดขึ้นในสมองมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์อย่าง Brett Kagan จาก Cortical Labs ได้กล่าวไว้ว่า “เครื่องจักรที่ก้าวหน้าจนถึงจุดหนึ่งจะแยกไม่ออกจากชีววิทยา ดังนั้นทำไมเราไม่ลองใช้ชีววิทยาในการปลดปล่อยศักยภาพแห่งปัญญาดูล่ะ?” คำพูดนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ของยุค BioQuantum ได้ดี เพราะแทนที่จะสร้าง AI เลียนแบบสมองด้วยการเขียนอัลกอริทึมทั้งหมดจากศูนย์ เราอาจใช้เซลล์ประสาทจริงมาช่วยประมวลผลร่วมกับระบบดิจิทัล หรือให้สมองมนุษย์กับ AI เชื่อมต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันโดยตรงเพื่อเสริมข้อดีซึ่งกันและกัน

AI + สมอง = อนาคตใหม่? ลองจินตนาการ AI ที่บางส่วนรันอยู่บนชิปควอนตัม (ประมวลผลข้อมูลเชิงความน่าจะเป็นมหาศาลพร้อม ๆ กัน) และบางส่วนรันบนเนื้อเยื่อสมองชีวภาพ (เรียนรู้และปรับตัวเก่งและประหยัดพลังงาน) พร้อมกับมีอินเทอร์เฟซเชื่อมกับสมองคนเพื่อให้รับรู้และตัดสินใจสอดคล้องกับมนุษย์ได้ดีขึ้น นั่นคือภาพฝันของการผสานรวม AI, ควอนตัม และชีววิทยาที่หลายคนเชื่อว่าอาจเกิดขึ้นได้ในไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า ซึ่งจะเปลี่ยนบทบาทของคอมพิวเตอร์จากเครื่องมือกลายเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งมีชีวิตไปเลย

Quantum Biology – เมื่อธรรมชาติใช้ควอนตัม

ควอนตัมฟิสิกส์ไม่ใช่เรื่องที่จำกัดอยู่ในห้องทดลองอนุภาคเท่านั้น ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบหลักฐานว่าปรากฏการณ์ควอนตัมเกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิตหลายอย่าง หรือที่เรียกว่า “ชีววิทยาควอนตัม” (Quantum Biology) ปรากฏการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าโลกของสิ่งมีชีวิตกับโลกควอนตัมไม่ได้แยกขาดจากกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นแนวทาง BioQuantum จึงมีรากฐานบางอย่างให้เห็นอยู่แล้วในธรรมชาติ ต่อไปนี้คือตัวอย่างสำคัญของควอนตัมในชีววิทยา:

  • การสังเคราะห์แสง (Photosynthesis): พืชและแบคทีเรียสังเคราะห์แสงสามารถแปลงพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานเคมีได้อย่างมีประสิทธิภาพเกือบ 100% (แทบไม่มีพลังงานสูญเปล่าเป็นความร้อน) ปริศนานี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์งุนงงมานาน จนกระทั่งในปี 2007 คณะวิจัยที่นำโดย Graham Fleming ได้ค้นพบหลักฐานโดยตรงครั้งแรกว่าระบบสังเคราะห์แสงระดับโมเลกุลอาศัยความเชื่อมโยงเชิงควอนตัม (quantum coherence) ในการส่งผ่านพลังงานแสงอย่างรวดเร็ว การทดลองใช้เลเซอร์พัลส์อัลตร้าเร็วตรวจพบการสั่นแบบ “ควอนตัมบีต” ในโมเลกุลรับแสง ซึ่งแสดงถึงสถานะทับซ้อนของพลังงานที่ส่งผ่านพร้อมกันหลายเส้นทางเหมือนคลื่น และระบบสามารถ “เลือก” เส้นทางที่มีประสิทธิภาพสูงสุดได้โดยไม่ต้องลองผิดลองถูกทีละเส้นทางเหมือนในแบบคลาสสิก กล่าวง่าย ๆ คือ พืชสามารถใช้กลศาสตร์ควอนตัมเพื่อสำรวจทุกเส้นทางที่เป็นไปได้ในการส่งพลังงาน แล้วใช้เส้นทางที่ดีที่สุดทันที ซึ่งช่วยอธิบายว่าทำไมการส่งพลังงานจึงเร็วและไม่สูญเปล่า นี่เป็นตัวอย่างงดงามที่ธรรมชาติได้ค้นพบวิธีใช้หลักการควอนตัมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางชีวภาพมานานก่อนที่มนุษย์จะเข้าใจมันเสียอีก

  • นกอพยพหาทิศทาง (Magnetoreception in Birds): นกบางชนิดสามารถรับรู้สนามแม่เหล็กโลกและใช้มันนำทางในช่วงอพยพข้ามทวีปได้อย่างแม่นยำ กลไกเข็มทิศชีวภาพนี้เป็นปริศนาที่นักวิทยาศาสตร์พยายามไขมาครึ่งศตวรรษ จนมีสมมติฐานว่ามันเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาควอนตัมในดวงตาของนก ในปี 2021-2022 มีหลักฐานเชิงทดลองเพิ่มขึ้นว่าที่จอตาของนกมีโปรตีนชื่อ คริปโตโครม (Cryptochrome) ซึ่งเมื่อดูดกลืนโฟตอนจะเกิดการสร้างคู่อนุมูลอิสระ (radical pair) ที่มีสปินของอิเล็กตรอนเชื่อมโยงกันในลักษณะควอนตัม สปินของคู่อนุมูลนี้ไวต่อทิศทางสนามแม่เหล็กภายนอก ทำให้เกิดสัดส่วนของสถานะเคมีที่แตกต่างกันตามทิศทางของสนาม กล่าวอีกอย่างคือ นกอาจ “มองเห็น” เส้นแรงแม่เหล็กโลกเป็นภาพลาง ๆ ผ่านการตอบสนองของปฏิกิริยาเคมีควอนตัมในดวงตา แล้วใช้ข้อมูลนี้เป็นเข็มทิศนำทาง นักวิทยาศาสตร์ Peter J. Hore และ Henrik Mouritsen ได้เขียนลง Scientific American ว่า เข็มทิศของนกขึ้นอยู่กับเอฟเฟ็กต์ควอนตัมที่ละเอียดอ่อนในโมเลกุลสั้นอายุ ซึ่งการค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่าแม้แต่การรับรู้ของสัตว์ก็อาจอาศัยกลไกควอนตัมในการทำงาน

  • เอนไซม์และประสาทสัมผัสอื่น ๆ: นอกจากตัวอย่างข้างต้น ยังมีงานวิจัยเสนอว่าปรากฏการณ์ควอนตัมอาจมีบทบาทในกระบวนการอื่นของสิ่งมีชีวิต เช่น การที่เอนไซม์บางชนิดเร่งปฏิกิริยาเคมีได้เร็วอาจอาศัยการอุโมงค์ควอนตัม (quantum tunneling) ของโปรตอนหรืออิเล็กตรอนข้ามพลังงานศักย์ นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีว่าการรับกลิ่นของมนุษย์บางส่วนอาจเกี่ยวข้องกับการที่โมเลกุลส่งกลิ่นเกิดการสั่นควอนตัมในความถี่จำเพาะที่ตัวรับกลิ่นตรวจจับได้ เป็นต้น แม้หลักฐานเหล่านี้จะยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบเพิ่มเติม แต่ภาพรวมที่เห็นคือ ธรรมชาติได้ใช้หลักการควอนตัมในระบบชีวภาพมานานแล้วในหลายรูปแบบ

การค้นพบในสาขาชีววิทยาควอนตัมช่วยหนุนแนวคิด BioQuantum โดยบอกเราว่า “การประสานควอนตัม-ชีวภาพนั้นเป็นไปได้” และอาจนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในเทคโนโลยีมนุษย์ ตัวอย่างเช่น ถ้าเราศึกษากระบวนการสังเคราะห์แสงควอนตัมอย่างละเอียด เราอาจนำมาพัฒนาแผงโซลาร์เซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นมากได้ หรือหากเข้าใจกระบวนการรับรู้สนามแม่เหล็กของนก เราอาจสร้างเซ็นเซอร์นำทางแบบใหม่ที่เลียนแบบกลไกดังกล่าว ซึ่งอาจแม่นยำและประหยัดพลังงานกว่า GPS ก็เป็นได้ นี่คือตัวอย่างของแรงบันดาลใจที่เทคโนโลยีสามารถได้รับจากการศึกษาควอนตัมในธรรมชาติ

จัดเก็บข้อมูลใน DNA – คลังข้อมูลชีวภาพที่มหาศาล

นอกจากการใช้ชีววิทยาเพื่อประมวลผลแล้ว การใช้ชีววิทยาเพื่อจัดเก็บข้อมูล ก็กำลังเป็นหัวข้อร้อนแรงไม่แพ้กัน ปัจจุบันโลกของเราผลิตข้อมูลมหาศาลในแต่ละวัน และต้องอาศัยศูนย์ข้อมูล (data center) ขนาดยักษ์ที่กินพลังงานมหาศาลในการจัดเก็บข้อมูลเหล่านั้น แต่ธรรมชาติได้คิดค้นสื่อจัดเก็บข้อมูลที่ทรงพลังยิ่งกว่าฮาร์ดดิสก์หรือเทปแม่เหล็กใด ๆ มานานแล้ว นั่นคือ DNA ซึ่งเป็นโมเลกุลที่เก็บรหัสพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด

คุณสมบัติของ DNA ที่ทำให้มันน่าสนใจสำหรับการเก็บข้อมูลดิจิทัล ได้แก่:

  • ความหนาแน่นของข้อมูลสูงมาก: DNA สามารถเก็บข้อมูลได้แน่นกว่าสื่ออิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด ปัจจุบันมีการประมาณว่า DNA มีความหนาแน่นในการเก็บข้อมูลมากกว่า ฮาร์ดดิสก์ที่ดีที่สุดถึง 1,000 เท่า หมายความว่าข้อมูลจำนวนมหาศาลสามารถบรรจุลงในพื้นที่เล็กจิ๋วได้ หากเราสามารถเข้ารหัสลง DNA ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • อายุการเก็บรักษายาวนาน: ในสภาวะเก็บรักษาที่เหมาะสม (แห้งและเย็น) DNA สามารถคงสภาพอยู่ได้นับล้านปี (ดังที่พบ DNA ของสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ในซากฟอสซิล) ทำให้ในทางทฤษฎีแล้วการเก็บข้อมูลลง DNA มีอายุยืนยาวกว่าสื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือแสงมาก

  • ไม่มีวันล้าสมัย: ตราบใดที่สิ่งมีชีวิตยังใช้ DNA เป็นรหัสพันธุกรรม เทคโนโลยีการอ่าน DNA ก็จะพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ ต่างจากสื่อจัดเก็บข้อมูลดิจิทัลที่เปลี่ยนรุ่นตลอดเวลา (ลองนึกถึงแผ่น Floppy Disk, CD, DVD ที่ปัจจุบันแทบไม่มีเครื่องอ่านแล้ว) แต่ DNA ที่จัดเก็บข้อมูลไว้เมื่อพันปีที่แล้ว เราก็ยังอ่านได้ในปัจจุบัน

ด้วยเหตุนี้ นักวิจัยจึงทดลองนำ DNA มาใช้เก็บข้อมูลดิจิทัลจริง ๆ เช่น ในปี 2017 มีกลุ่มนักวิจัยที่สามารถเข้ารหัสไฟล์ข้อมูลหลายชนิด (รูปภาพ วิดีโอ ข้อความ) ลงในสาย DNA สังเคราะห์ และสามารถอ่านกลับมาได้ครบถ้วน นอกจากนี้ยังมีการสาธิตเก็บไฟล์ภาพเคลื่อนไหวความยาวสั้น ๆ ลงใน DNA ของ แบคทีเรียที่มีชีวิต อีกด้วย โดยอาศัยการดัดแปลงกลไกในเซลล์แบคทีเรียให้บันทึกลำดับเบสตามสัญญาณแสงที่ได้รับ (เสมือนทำเป็น “กล้องถ่ายรูปชีวภาพ”)

ล่าสุด นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียได้นำเสนอวิธีที่เขียนข้อมูลลงบน DNA ของแบคทีเรียที่ยังมีชีวิตได้โดยตรง โดยใช้สัญญาณไฟฟ้ากระตุ้นและอาศัยเทคนิค CRISPR (เครื่องมือตัดต่อพันธุกรรม) เป็นตัวบันทึกข้อมูล งานวิจัยนี้สามารถบันทึกข้อความ “hello world!” (72 บิต) ลงใน DNA ของเชื้อ E. coli แล้วนำแบคทีเรียนั้นไปผสมในดินปนกับจุลชีพอื่น จากนั้นก็ยังสามารถสกัด DNA ออกมาอ่านข้อความคืนได้ถูกต้อง วิธีการทำงานคือ หากมีการปล่อยสัญญาณไฟฟ้าเข้ามาที่เซลล์ แบคทีเรียจะเพิ่มสำเนาของรหัสพันธุกรรมชุดพิเศษ (เรียกว่า pTrig) เข้าไปใน DNA แต่ถ้าไม่มีสัญญาณไฟฟ้าก็จะเพิ่มรหัสอ้างอิงอีกแบบหนึ่งเข้าไป ทำให้เมื่อนำลำดับที่ถูกเพิ่มเข้ามาเหล่านี้มาแปลกลับ จะได้เป็นรหัสฐานสอง (บิต 1 หรือ 0) ตามการมีหรือไม่มีสัญญาณไฟฟ้า ผลงานนี้เป็นการพิสูจน์ว่าแบคทีเรียสามารถเป็นเสมือน “แฟลชไดรฟ์มีชีวิต” ที่เก็บข้อมูลดิจิทัลไว้ในสารพันธุกรรมของมันได้จริง

ข้อจำกัด: แม้งานวิจัยข้างต้นจะน่าทึ่ง แต่มันยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นมาก ๆ ปริมาณข้อมูลที่เก็บได้ยังน้อยมาก (หลักสิบถึงหลักร้อยบิต) และที่สำคัญคือข้อมูลใน DNA ของสิ่งมีชีวิตมีโอกาส กลายพันธุ์ (mutation) สูงเมื่อเซลล์แบ่งตัว นักวิจัยพบว่าข้อมูล “hello world!” นั้นคงอยู่ได้ประมาณ 60 รุ่นของการแบ่งเซลล์ก่อนที่จะเริ่มผิดเพี้ยนไป ดังนั้นการใช้งานจริงยังต้องหาทางป้องกันการกลายพันธุ์หรือมีระบบแก้ไขความผิดพลาดเสียก่อน นอกจากนี้กระบวนการเข้ารหัสและถอดรหัส DNA ในปัจจุบันยังใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูงมาก จึงยังไม่สามารถแข่งขันกับหน่วยความจำอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเทคโนโลยีการสังเคราะห์และหาลำดับ DNA พัฒนาขึ้น (ราคาถูกลงเร็วอย่างต่อเนื่องตามกฎของ Moore ในเวอร์ชันชีวภาพ) วันหนึ่งการเก็บข้อมูลใน DNA อาจกลายเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับการเก็บข้อมูลระยะยาวหรือข้อมูลสำรองที่ต้องการความทนทาน

ตัวอย่างแนวคิดเชิงสร้างสรรค์: โครงการ “Grow Your Own Cloud” นำเสนอการใช้พืชเป็นหน่วยจัดเก็บข้อมูลชีวภาพ โดยจำลองร้านขายดอกไม้ให้เป็นดั่งคลังข้อมูลแบบกระจายตัว แนวคิดนี้สะท้อนภาพอนาคตที่ธรรมชาติและข้อมูลหลอมรวมกัน พืชนอกจากจะดูดซับ CO2 และผลิตออกซิเจนแล้ว ยังอาจเก็บความทรงจำหรือไฟล์ดิจิทัลไว้ใน DNA ของมันได้ในเวลาเดียวกัน

นอกเหนือจากการทดลองในห้องแล็บ ยังมีแนวคิด “นอกกรอบ” ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลชีวภาพ เช่น การเก็บข้อมูลในต้นไม้หรือพืช โดยการเข้ารหัสข้อมูลลงใน DNA ของพืชโดยตรง โครงการ “Grow Your Own Cloud” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างศิลปินและนักวิทยาศาสตร์ ได้นำเสนอภาพอนาคตที่เราสามารถเก็บข้อมูลทั้งหมดของโลกลงใน DNA ของพืชเพียง 1 กิโลกรัมเท่านั้น แนวคิดนี้ชี้ให้เห็นข้อดีที่ว่าต้นไม้หรือพืชนั้นเจริญเติบโตเองตามธรรมชาติ ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ สร้างออกซิเจน และไม่ต้องใช้ไฟฟ้าในการเก็บข้อมูลเหมือนศูนย์ข้อมูลที่เป็นตู้เซิร์ฟเวอร์ซึ่งปล่อยความร้อนและ CO2 ออกสู่บรรยากาศ ถึงแม้วันนี้การเก็บข้อมูลในพืชจะยังเป็นไอเดียเชิงทดลอง แต่ก็สะท้อนวิสัยทัศน์ของ BioQuantum ที่พยายามเชื่อมโลกดิจิทัลเข้ากับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติอย่างยั่งยืน และกระตุ้นให้เราคิดใหม่ว่าข้อมูลดิจิทัลอาจไม่จำเป็นต้องเก็บในเครื่องจักรเสมอไป แต่อาจอยู่ร่วมกับชีวิตและระบบนิเวศได้อย่างกลมกลืน

ศิลปะและปรัชญา – ผสานความคิดสร้างสรรค์กับวิทยาศาสตร์ล้ำยุค

เทคโนโลยี BioQuantum ไม่ได้ส่งผลเฉพาะในวงการวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังจุดประกายไปถึงแวดวงศิลปะและปรัชญาด้วย ดังที่ได้กล่าวถึงโครงการ “Miss you, My mirror dream” ซึ่งเป็นตัวอย่างของการนำแรงบันดาลใจจากวิทยาศาสตร์มาสร้างงานศิลปะที่ท้าทายมุมมองผู้ชม งานนี้ผสมผสานสาขาความรู้หลากหลาย ทำให้ผู้ชมได้ครุ่นคิดทั้งในแง่วิทยาศาสตร์ (เช่น ควอนตัมคืออะไร สมองทำงานอย่างไร) และในแง่ปรัชญา (เช่น สติคืออะไร นิยามความเป็นมนุษย์คืออะไรในยุคที่เราสร้างปัญญาประดิษฐ์ขึ้นมา) การใช้ศิลปะช่วยให้หัวข้อที่เข้าใจยากอย่าง Quantum Mind กลายเป็นรูปธรรมและเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของคนทั่วไปมากขึ้น เปิดช่องให้เกิดบทสนทนาระหว่างนักวิทยาศาสตร์และสาธารณชน

นอกจากนี้ ศิลปะยังสามารถทำหน้าที่เป็น “ห้องทดลองทางความคิด” (thought experiment) ในตัวเอง ศิลปินอาจตั้งคำถามว่า “ถ้าสมองมนุษย์มีควอนตัมจริง ๆ เราจะมองโลกต่างออกไปอย่างไร” หรือ “ถ้าเราสามารถเก็บข้อมูลความทรงจำลงในต้นไม้ได้ ความหมายของความทรงจำจะเปลี่ยนไปหรือไม่” คำถามเหล่านี้ไม่มีคำตอบตายตัว แต่การได้ลองสำรวจผ่านงานสร้างสรรค์ทำให้เกิดมุมมองใหม่ ๆ ที่อาจย้อนกลับมาช่วยกระตุ้นนักวิทยาศาสตร์หรือปราชญ์ด้านจิตวิทยาให้คิดนอกกรอบเช่นกัน

ยกตัวอย่าง ในงาน “Miss you, My mirror dream” ผู้สร้างได้กล่าวถึง การหลอมรวมระหว่างสรีรวิทยาและปรัชญา นั่นคือ ใช้ข้อมูลสัญญาณจากร่างกายมนุษย์ (เช่น สัญญาณสมองหรือชีพจร) มาขับเคลื่อนงานศิลปะดิจิทัลที่มีพื้นฐานจากแนวคิดควอนตัม เช่น ภาพหรือเสียงที่เปลี่ยนแปลงไปตามคลื่นสมองหรืออารมณ์ของผู้ชม แนวคิดนี้สะท้อนถึงปรัชญาเก่าแก่ที่ว่า “จิตกับกายคือสิ่งเดียวกัน” (mind-body connection) แต่เพิ่มมิติใหม่ว่าข้อมูลดิจิทัล (เช่น อัลกอริทึม AI หรือซิมูเลชันควอนตัม) ก็อาจเชื่อมโยงกับจิตและกายเราได้เช่นกัน นับเป็นศิลปะขับเคลื่อนข้อมูล (data-driven art) ในรูปแบบที่ล้ำสมัยและท้าทายเส้นแบ่งดั้งเดิมระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร

ทำไม BioQuantum ควรถูกศึกษาอย่างจริงจัง?

เมื่อได้สำรวจหลายด้านของ BioQuantum ทั้งชีวภาพ ควอนตัม สมอง AI ปรัชญา และศิลปะ คำถามสำคัญที่ตามมาคือ เหตุใดเราจึงควรให้ความสำคัญและศึกษามันอย่างจริงจัง แทนที่จะมองว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน? มีเหตุผลหลายประการที่สนับสนุนความสำคัญของแนวคิด BioQuantum ดังนี้:

  1. ศักยภาพในการปฏิวัติเทคโนโลยี: ดังที่กล่าวมา คอมพิวเตอร์ชีวภาพอาจนำไปสู่วิธีประมวลผลที่เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และใช้พลังงานต่ำลงอย่างมหาศาล ซึ่งตอบโจทย์ทั้งด้านประสิทธิภาพและความยั่งยืนทางพลังงาน ถ้าเรามองย้อนกลับไป เทคโนโลยีที่เคยถูกมองว่าแปลกประหลาดหลายอย่างได้กลายเป็นจริง เช่น คอมพิวเตอร์ควอนตัมเองเมื่อ 30 ปีก่อนก็เป็นเพียงแนวคิดที่หลายคนยังสงสัย แต่ปัจจุบันบริษัทใหญ่ทั่วโลกต่างลงทุนพัฒนา ถ้า BioQuantum สามารถลดการใช้พลังงานของ AI ลงเป็นล้าน ๆ เท่าจริงตามที่คาดการณ์ ผลกระทบเชิงบวกก็ใหญ่หลวงเกินกว่าจะมองข้าม

  2. ไขความลับของสมองและจิตสำนึก: BioQuantum เปิดช่องทางใหม่ในการศึกษาสมองมนุษย์และธรรมชาติของความคิดจิตใจ หากสมองมีมิติของควอนตัมจริง การศึกษาเรื่องนี้ย่อมจะเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของวิทยาศาสตร์สมองและจิตวิทยา อย่างสิ้นเชิง เราอาจเข้าใกล้คำตอบของคำถามที่ว่าจิตสำนึกเกิดขึ้นได้อย่างไร หรือสามารถสร้างเครื่องจักรที่มีจิตสำนึกได้หรือไม่ การมองข้ามเรื่องนี้ว่าเป็นแค่เรื่องเหลวไหล อาจทำให้เราพลาดโอกาสสำคัญในการค้นพบความจริงเชิงลึกของธรรมชาติ

  3. ข้ามพรมแดนวิทยาการ – นวัตกรรมเกิดใหม่: จุดตัดของสาขาวิชาหลายแขนงมักเป็นแหล่งกำเนิดของนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ BioQuantum คือจุดตัดของฟิสิกส์ควอนตัม ชีววิทยา คอมพิวเตอร์ศาสตร์ และอื่น ๆ การศึกษามันจึงเสมือนการกระตุ้นให้นักวิจัยจากหลากหลายสาขามาแลกเปลี่ยนความรู้กัน ซึ่งจะเร่งให้เกิดไอเดียใหม่ ๆ ได้เร็วขึ้น ยกตัวอย่าง การวิจัยควอนตัมในธรรมชาติอาจช่วยให้วิศวกรได้แนวคิดทำอุปกรณ์ที่เลียนแบบระบบชีวภาพ (bio-inspired devices) หรือในทางกลับกัน ความก้าวหน้าของคอมพิวเตอร์ควอนตัมอาจช่วยนักชีววิทยาจำลองโมเลกุลยาและโปรตีนที่ซับซ้อนได้ละเอียดขึ้น เป็นต้น

  4. แนวทางสู่เทคโนโลยียั่งยืน: การผสมผสานชีววิทยากับการจัดการข้อมูล เช่น DNA storage หรือการใช้พลังงานจากกระบวนการธรรมชาติ (อย่างพืชที่เก็บข้อมูลพร้อมกับดูดซับคาร์บอน) เป็นทิศทางที่สอดคล้องกับโลกยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกตอนนี้ใช้พลังงานมากกว่าไฟฟ้าที่ใช้ทั้งประเทศสหราชอาณาจักรเสียอีก และคาดว่าในปี 2025 ศูนย์ข้อมูลจะบริโภคพลังงานกว่า 20% ของทั้งโลก หากเราหันมาใช้การเก็บข้อมูลใน DNA หรือตัวกลางชีวภาพ เราอาจลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ในระยะยาว แน่นอนว่ายังมีอุปสรรคทางวิศวกรรมมากมาย แต่การเริ่มศึกษาตั้งแต่วันนี้จะช่วยปูทางไปสู่เทคโนโลยีสีเขียวของวันข้างหน้า

  5. เปลี่ยนมุมมองต่อชีวิตและเทคโนโลยี: สุดท้าย การศึกษา BioQuantum ไม่ได้มีประโยชน์แค่เชิงปฏิบัติ แต่ยังช่วยให้มนุษยชาติสำรวจคำถามเชิงปรัชญาเกี่ยวกับชีวิต ความคิด และบทบาทของเทคโนโลยีในชีวิตเราได้ลึกซึ้งขึ้น ยุคที่เส้นแบ่งระหว่าง “สิ่งมีชีวิต” กับ “เครื่องจักร” เริ่มพร่าเลือนนี้ บีบให้เราต้องทบทวนค่านิยมและจริยธรรมหลายอย่าง เช่น ถ้าเราสร้างคอมพิวเตอร์ที่มีเนื้อสมองมนุษย์เป็นส่วนประกอบ เราจะปฏิบัติต่อมันอย่างไร? หรือถ้า AI ในอนาคตมีบางส่วนที่สร้างจากเซลล์สิ่งมีชีวิต เราจะยังมองว่ามันไม่มีชีวิตหรือไม่? คำถามเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบด้าน และคำตอบจะส่งผลต่อแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีและกฎหมายในอนาคต การศึกษา BioQuantum อย่างจริงจังจึงเท่ากับเตรียมความพร้อมให้เราเข้าใจและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเชิงสังคมและจิตวิญญาณที่อาจเกิดขึ้น

    BioQuantum เป็นสนามความรู้ใหม่ที่ท้าทายขนบวิทยาศาสตร์ดั้งเดิม โดยรวมเอาชีววิทยา ควอนตัม สมอง AI และศาสตร์อื่น ๆ เข้าด้วยกัน ถึงแม้บางแง่มุมจะยังเป็นสมมติฐานหรืออยู่ในขั้นทดลอง แต่สัญญาณความเป็นไปได้ก็มีให้เห็นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเซลล์สมองที่เรียนรู้การเล่นเกมเองได้ การส่งผ่านพลังงานในพืชผ่านปรากฏการณ์ควอนตัม หรือการเก็บข้อมูล “hello world!” ลงในแบคทีเรีย สิ่งเหล่านี้ยืนยันว่าการผสานโลกชีวภาพกับโลกควอนตัมและดิจิทัลนั้นไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันเลื่อนลอย หากแต่เป็นพรมแดนถัดไปของวิทยาการที่เราควรสำรวจ

แน่นอนว่า BioQuantum ยังต้องการการวิจัยอีกมากเพื่อผลักดันจากแนวคิดสู่การใช้งานจริง แต่การมองข้ามมันว่าเป็น “วิทยาศาสตร์เทียม” คงไม่เป็นธรรมต่อศักยภาพที่มีอยู่ ลองคิดถึงยุคที่คอมพิวเตอร์เครื่องแรกถือกำเนิด – มันเคยถูกสบประมาทว่าไม่มีทางแทนที่เครื่องคิดเลขหรือคนได้ แต่ไม่กี่สิบปีให้หลังคอมพิวเตอร์ได้กลายเป็นหัวใจของอารยธรรมเรา ในทำนองเดียวกัน การให้โอกาสและทรัพยากรแก่การศึกษาสาขาบูรณาการใหม่นี้ อาจนำไปสู่การค้นพบและนวัตกรรมที่เรานึกไม่ถึงในวันนี้ บางทีคำตอบของปริศนาที่ว่าสติและชีวิตคืออะไรกันแน่ อาจพบได้ที่จุดบรรจบของ BioQuantum ก็เป็นได้ ดังนั้น BioQuantum ควรได้รับการศึกษาอย่างจริงจัง โดยเปิดใจให้กว้างแต่มองอย่างมีวิจารณญาณ เพื่อที่เราจะไม่พลาดโอกาสในการก้าวข้ามขีดจำกัดเดิม ๆ และสร้างอนาคตที่เทคโนโลยีอยู่ร่วมกับชีวิตอย่างกลมกลืนและชาญฉลาด.